TU กำไร Q3/60 ฟื้นตัวรับไฮซีซั่นแนะนำซื้อเป้าหมาย 24.70 บาท
TU กำไร Q3/60 ฟื้นตัวรับไฮซีซั่นแนะนำซื้อเป้าหมาย 24.70 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(8ก.ย.) ว่า บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ธุรกิจในสหรัฐฯ ได้แก่ Chicken of the Sea, Chicken of the Sea Frozen Food และ USPET Nutrition มียอดขายรวมกันประมาณ 52,400 ล้านบาท คิดเป็น 39% ของยอดขายในปี 2559 หากสหรัฐฯ มีการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล (ตามเป้าหมายการปฏิรูประบบภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์) จาก 35% เป็น 15%ประเมินในเบื้องต้นคาดจะส่งผลให้ TU ประหยัดภาษีได้ราว 300 ล้านบาทต่อปี ทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5% จากประมาณการ
คาดกำไรไตรมาส3/60 เติบโตดีขึ้นเนื่องจากเข้าสู่ช่วงพีคซีซั่นและปริมาณขายเพิ่มขึ้น แม้อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจทูน่ายังถูกกดดันจากต้นทุนปลาทูน่าที่เพิ่มขึ้น แต่คาดอัตรากำไรของธุรกิจแซลมอนและกุ้งดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจแซลมอนคาดจะฟื้นตัวดีขึ้นจากการทยอยปรับราคาขายมาตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน
อีกทั้งต้นทุนแซลมอนในเดือน ก.ค.-ส.ค. เริ่มปรับตัวลง 9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มาที่ 59.4 Nok/กิโลกรัม และลดลง 13% จากราคาเฉลี่ยในไตรมาส 2/60 นอกจากนั้น TU จะรับรู้ผลขาดทุนจากธุรกิจกองเรือลดลงหลังจากขายธุรกิจดังกล่าวออกไปเมื่อเดือน ส.ค. ทั้งนี้ตลาดฯไม่ค่อยมีมุมมองบวกต่อ TU ในช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากกำไรอ่อนตัว ดังนั้นกำไร ไตรมาส3/60 อาจเกินความคาดหมายของตลาดฯ จากเดิมที่เน้นเพิ่มยอดขาย TU ได้หันมาให้ความสำคัญกับการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ด้วยการลดค่าใช้จ่ายทุกด้านซึ่งคาดจะลดสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายลงจาก 10% เป็น 9-9.5%
อีกทั้งใช้เทคโนโลยีมาปรับขบวนการผลิตซึ่งคาดจะช่วยลดต้นทุนได้ในระยะยาว TU ยังคงเป้าหมายยอดขาย 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2563 ซึ่งเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ เนื่องจากหากเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นใน Red Lobster จนต้องรวมงบการเงินของ Red Lobster จะส่งผลให้ยอดขายเพิ่มเข้ามา 2.5 พันล้านเหรียญฯ ทำให้ยอดขายของ TU เพิ่มเป็น 6.3 พันล้านเหรียญฯ ทันที ประกอบกับยอดขายยังเติบโตจากการออกสินค้าใหม่ (Innovation product) ที่มีอัตรากำไรสูง ขยายไปสู่ตลาดใหม่ เช่น จีน และขยายไปสู่ธุรกิจ Food service เพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มช่องทางการขายสินค้า