VNG โดดเด่นทั้งอัพไซด์ และปันผลปัจจัยบวกท่วมท้นหนุนกำไรไตรมาส 2
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า แนวโน้มธุรกิจ VNG สดใสอย่างมาก จากปัจจัยเกื้อหนุนทั้งเรื่องต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงและเงินบาทอ่อนค่า คาดกำไรไตรมาส 2/58 จะเติบโตเท่าตัวจากปีก่อน ขณะที่ทิศทางธุรกิจระยะยาวมุ่งเน้นสินค้าขั้นปลายที่มี margin สูง เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของรายได้และกำไร
บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (22 พ.ค.) ว่า ผลประกอบการที่เติบโตโดดเด่นตลอดช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมาของบริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ VNG มีปัจจัยสำคัญมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง โดยเฉพาะเศษไม้ยางพาราที่มีราคาลดลงอย่างมาก จากนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนให้เกษตรกรโค่นต้นยางเพื่อลด Supply ยางพาราที่ออกสู่ตลาด เช่นเดียวกับต้นทุนการผลิตกาวที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบ
โดยในช่วงไตรมาส 2/58 บริษัทยังได้รับผลบวกจากการอ่อนค่าของเงินบาทเนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกสูงถึง 65% ขณะที่เงินยูโรที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์ ทำให้ VNG มีความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งจากยุโรปได้ดีขึ้น จึงเชื่อว่าในไตรมาส 2/58 บริษัทจะสามารถรักษาอัตรา Gross margin ได้ไม่ต่ำกว่า 27% ซึ่งการปรับปรุงรายการ Defer Tax Asset ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1/58 จะทำให้ VNG แทบไม่ต้องมีการบันทึกภาษีจ่ายเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปี จึงประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 2/58 ไว้ที่ 250-300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัว จากไตรมาส 2/57
ทั้งนี้ VNG มีแผนธุรกิจชัดเจนที่จะมุ่งไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เพื่อเพิ่มอัตรากำไรและลดความผันผวนของผลประกอบการในอนาคต โดยโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ คือการดัดแปลงสายการผลิต
Particle Board 3 แสน ลบม./ปี ที่สุราษฏร์ธานี มาผลิตเป็นสินค้า MDF ที่ให้ margin สูงกว่า (ทำช่วงไตรมาส 4/58-1/59) และการขยายกำลังการผลิต Laminate Flooring จาก 6 ล้านตรม./ปี เป็น 10 ล้านตรม./ปี (เสร็จ ไตรมาส 2/58) ซึ่งจะทำให้ VNG สามารถเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้ครอบคลุมตลาดทุก Segment
โดยเฉพาะตลาดกลาง-บน ด้วยการพัฒนาสินค้าให้มีผิวสัมผัสใกล้เคียงไม้ธรรมชาติมากขึ้น รวมถึงการติดตั้งเครื่องปิดผิวเมลามีน เพื่อสร้าง Value Added ให้กับ Particle Board สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติม คือ ธุรกิจโรงไฟฟ้า โดยใช้เชื้อเพลิงจากเศษเหลือใช้และความร้อนทิ้งจากกระบวนการผลิต น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นภายในปีนี้
ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปี 2558 ไว้ที่ 1,071 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากปีก่อน และประเมิน Fair Value อิง PER 15 เท่า จะให้ราคาเหมาะสม 10.25 บาท มี Upside 25% บวกกับเงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับ 4.0% ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ปีนี้ VNG อาจพิจารณาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง และแนวโน้มการทำกำไรในอนาคตที่สดใสอย่างมาก แนะนำ ซื้อ