TASCO ผ่านจุดพีคแล้ว โบรกฯปรับคำแนะนำแนวโน้มกำไรปีหน้าลดลงหลังหมดปัจจัยบวก
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ราคาหุ้น TASCO ที่ปรับขึ้นร้อนแรงตั้งแต่ต้นปี ถือเป็นการสะท้อนผลประกอบการปีนี้ที่เติบโตก้าวกระโดด แต่เชื่อว่าจุดสูงสุดของกำไรได้ผ่านไปแล้วใน Q1/58 ขณะที่แนวโน้มกำไรปีหน้า จะลดลงหลังหมดปัจจัยบวกกระตุ้น จึงลดคำแนะนำลงจาก ซื้อ เป็น ถือ
บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (26 พ.ค.) ว่า หลายปัจจัยบวกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 57 ยังคงเอื้อหนุนต่อการทำกำไรของบริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ในระยะ 2 ไตรมาสข้างหน้า ทั้งเรื่องต้นทุนน้ำมันดิบที่ลดลงและความต้องการยางมะตอยที่เพิ่มขึ้นในหลายตลาดโดยเชื่อว่าช่วงไตรมาส 2/58 บริษัทน่าจะยังมีกำไรที่โดดเด่นในระดับมากกว่า 700 ล้านบาท จากส่วนต่างราคาระหว่างยางมะตอยและน้ำมันดิบที่สูงกว่าปกติ อีกทั้งยังมีคำสั่งซื้อ Bitumen Mixture เข้ามาถึง 2.5 แสนตัน
ขณะที่ไตรมาส 3 น่าจะเป็นไตรมาสที่ TASCO มียอดขายสูงสุดของปีนี้ โดยเฉพาะตลาดส่งออกไปอินโดนีเซียและเวียดนามที่จะเพิ่มขึ้น ส่วนตลาดในประเทศก็น่าจะได้รับผลบวกจากงบประมาณพิเศษ 4 หมื่นล้านบาท สำหรับการก่อสร้างถนน ซึ่งผู้รับเหมาจะต้องเร่งส่งมอบงานให้เสร็จภายในเดือน ก.ย. อย่างไรก็ตาม Gross margin ที่สูงกว่าปกติมาก ในช่วงไตรมาส 1/58 จะค่อยๆลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่เริ่มขยับขึ้น ทำให้ส่วนต่างระหว่างราคายางมะตอยและน้ำมันดิบ แคบลง
โอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้าง ทำให้ TASCO เร่งขยายระบบ Logistic เพื่อรองรับยอดขายที่เพิ่มขึ้น ทั้งตลาดในและต่างประเทศ โดยเดือนมิ.ย.58 TASCO จะมีเรือขนส่งยางมะตอยเพิ่มอีก 1 ลำ เมื่อรวมกับเรือของพันธมิตร 2 ลำ และเรือที่เช่าระยะยาวอีก 2 ลำ ทำให้ TASCO มีเรือขนส่งใน Control ถึง 11 ลำ
ขณะที่การขนส่งยางมะตอยในประเทศ มีการสั่งซื้อรถเทรลเลอร์เข้ามาเพิ่มอีก 50 คัน รวมกับที่มีอยู่เป็น 350 คัน ส่วนความร่วมมือกับ SK Energy จากเกาหลีใต้ ได้มีการตั้งบริษัทร่วมทุนที่สิงคโปร์เพื่อทำธุรกิจค้าขายยางมะตอยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคในเดือน เม.ย.58 เป็นที่เรียบร้อย โดยปีนี้ TASCO ตั้งเป้าปริมาณการขายยางมะตอย 2.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปีก่อน
แม้ฝ่ายวิจัยจะปรับเพิ่มประมาณการกำไรปีนี้ขึ้น 77% เป็น 2,953 ล้านบาท แต่แนวโน้มกำไรที่น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในไตรมาส 1/58 ขณะที่ปี 2559 คาดฐานกำไรจะลดลงเหลือ 1,578 ล้านบาท เนื่องจากไม่มีงบประมาณพิเศษสำหรับการก่อสร้างถนนเหมือนในปี 2558 รวมถึงส่วนต่างราคายางมะตอยและน้ำมันดิบที่คาดว่าจะลดลงชัดเจนตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 58 เป็นต้นไป
ฝ่ายวิจัยปรับลด Fair Value ลง จากเดิมที่ประเมินโดยอิง PER 14 เท่า เหลือ PER 10 เท่า จะให้ราคาเหมาะสม 19.25 บาท ซึ่งคิดเป็น PER ปี 2559 อยู่ที่ 18.73 เท่า จึงปรับลดคำแนะนำลงจาก ซื้อ เป็น ถือ