FLOYD ธุรกิจมีแนวโน้มดีขึ้น ราคาหุ้นมี Upside 23% แนะ”ซื้อ”เป้าหมาย 2.80 บาท
FLOYD ธุรกิจมีแนวโน้มดีขึ้น ราคาหุ้นมี Upside 23% แนะ"ซื้อ"เป้าหมาย 2.80 บาท
บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(15 พ.ค.) ว่า บริษัท ฟลอยด์ จำกัด (มหาชน) หรือ FLOYD ช่วงไตรมาส 1/61 รายงานกำไรสุทธิ 20 ล้านบาท พลิกกลับมาโต 6,336%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังได้แรงหนุนจาก 1) รายได้รวมโต 205.8%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเริ่มรับรู้รายได้โครงการใหม่ที่ประมูลและเซ็นสัญญาในเดือน ธ.ค. ปีก่อน ได้แก่ โครงการโฮมโปร สาขากัลปพฤกษ์, โครงการคอนโดแชปเตอร์วัน ชายน์ บางโพ และโครงการคิว เทอร์ตี้วัน ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวม 244 ล้านบาท (ส่วนใหญ่จะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2561) กอปรกับ ฐานรายได้ปีก่อนต่ำกว่าปกติ เพราะลูกค้าบางส่วนได้ชะลอการลงทุนขยายสาขาในช่วงที่ภาวะจับจ่ายในประเทศยังไม่ฟื้นตัว
2) อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจากเพียง 16.7% ในช่วง 1Q60 เป็น 33.2% สอดคล้องกับสัดส่วนการส่งมอบงานโครงการแนวราบ (มาร์จิ้นสูง) ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ งานของกลุ่มโฮมโปรที่บริษัทมีความชำนาญในการดำเนินงานจะมี Economies of Scales ในระดับสูง และ 3) SG&A/Sales ลดลงเหลือ 11.9% จาก 33.7% ในช่วง 1Q60 หลังรายได้เริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นได้ทันกับค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
กำไรช่วงไตรมาส1/61 คิดเป็น 25.3% ของทั้งปี และเรายังคงประมาณการเดิม โดยคาดจะได้รับอานิสงค์บวกจากการลงทุนของภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นตามกำลังซื้อในประเทศที่ฟื้นตัว หนุนให้ลูกค้าหลักของบริษัทอย่างโฮมโปรเริ่มกลับมาขยายสาขาตามแผนปีนี้ที่ 2 สาขา (อีก 1 สาขาคาดเริ่มประมูลช่วง 2Q61) ซึ่งบริษัทมีโอกาสได้งานในส่วนนี้ค่อนข้างสูง จากความชำนาญในการดำเนินงานและ Track Record ที่แข็งแรง นอกจากนี้ยังคาดจะได้รับงานต่อเนื่องจากลูกค้ากลุ่มใหม่อย่าง ROBINS (ตั้งเป้าขยาย 3 สาขา) และ J (ตั้งเป้าขยาย 8 สาขา) มากขึ้น ทำให้คาดปี 2561 FLOYD จะมีกำไรสุทธิ 79 ล้านบาท พลิกโต 319.1%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้ตามประมาณการเดิม
มีมุมมองบวกต่อธุรกิจของ FLOYD มากขึ้น หลังเริ่มส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนมาก อีกทั้งยังเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในอัตราทำกำไรที่สูงขึ้น รวมทั้งราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 22.8% จากมูลค่าพื้นฐานเดิมปี 2561 ที่ 2.80 บาท (อิงวิธี PER ที่ 12.8x เช่นเดิม) เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”