TPCH คาดโครงการ PTG เฟสที่ 1จ่อได้รับใบอนุญาตเร็วๆนี้แนะนำซื้อ
TPCH คาดโครงการ PTG เฟสที่ 1 น่าจะได้ใบอนุญาตในเร็วๆ นี้พร้อมคงเป้ากำลังการผลิตไว้ที่ 150 MWแนะนำให้ "ซื้อ" TPCH เนื่องจากคาดว่ากำไรในอีกสามปีข้างหน้า (2558-2560) จะโต 164% CAGR แต่อย่างไรก็ตาม เราได้ปรับลดราเป้าหมายลงจาก 31.0 บาทเหลือ 28.0
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (17 มิ.ย. 58) ว่า บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH จากงาน “Renewable day กับหลักทรัพย์กรุงศรี” เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผู้บริหารของ TPCH ยืนยันเป้าหมายที่จะมี PPA สำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลกำลังการผลิตรวม 150 MW ภายในปี 2560 โดยในปัจจุบันบริษัทมีโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลเจ็ดแห่ง (กำลังการผลิตรวม 95 MW) โดยมีหนึ่งโครงการ (9 MW) ที่เปิดดำเนินการแล้ว ส่วนอีกแห่ง (8 MW) จะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 6 กรกฎาคมนี้ ส่วนอีกสี่โครงการ (36 MW) กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
ส่วนโครงการสุดท้ายแบ่งเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรก (21 MW) น่าจะได้ใบอนุญาตจากคณะกรรมการบริหารมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (RE) ภายในเดือนกรกฎาคม และเฟสที่สอง (21 MW) กำลังอยู่ระหว่างรอการพิจารณาอนุมัติ นอกจากนี้ บริษัทก็กำลังเตรียมยื่นขอ PPA สำหรับโครงการประมูลโรงไฟฟ้าชีวมวลภายใต้การประมูลในระบบ FiT กำลังการผลิตรวม 100 MW
TPCH ได้ยื่นขอใบอนุญาตโครงการสุดท้าย (42 MW) ภายใต้ระบบ Adder หลังจากได้ใบอนุญาตแล้ว บริษัทมีแผนที่จะเปลี่ยนจากระบบ Adder มาเป็นระบบ FiT ซึ่งมีอัตราค่าซื้อไฟฟ้าสูงกว่า แต่อย่างไรก็ตาม เรามีความเป็นห่วงมากขึ้นในประเด็นนี้เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศนโยบายล่าสุดออกมาซึ่งจะเปิดให้โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเปลี่ยนมาเป็นระบบ FiT ได้สำหรับโรงไฟฟ้าที่มีขนาดต่ำกว่า 10 MW ขณะนี้ยังไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนว่านโยบายใหม่นี้จะมาเริ่มใช้กับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีขนาดสูงกว่า 10 MW เมื่อไหร่ ดังนั้นเราจึงปรับสมมติฐานการคิดค่าไฟในโครงการ PTG ให้เป็นระบบ Adder ซึ่งจะส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าลดลงในปี 2560 เป็น 4.59 บาทต่อหน่วย (Adder ที่ 1.30 บาทต่อหน่วยเป็นเวลา 7 ปี) จากเดิม 5.04 บาทต่อหน่วยt (FiT เป็นเวลา 20 ปี) ลดลง 9% จากประมาณการเดิม
แนะนำให้ “ซื้อ” TPCH เนื่องจากคาดว่ากำไรในอีกสามปีข้างหน้า (2558-2560) จะโต 164% CAGR แต่อย่างไรก็ตาม เราได้ปรับลดราเป้าหมายลงจาก 31.0 บาทเหลือ 28.0 ซึ่งคำนวณโดยวิธี DCF เพื่อสะท้อนถึง (1) อัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลงของโครงการ PTG ซึ่งเราได้ปรับมาใช้ระบบ Adder และทำให้มูลค่าหุ้นลดลง 2.4 บาท/หุ้น และ (2) สัดส่วนการถือหุ้นของ TPCH ในโครงการ PGP ที่ลดลงจาก 80% เหลือ 60% ซึ่งทำให้มูลค่าหุ้นลดลง 0.7 บาท/หุ้น