ถือ SCB รับปันผล รอผ่านช่วงมรสุมหาจังหวะเข้าหลังปรับฐานระยะสั้น

ภาพรวมผลการดำเนินงานและคุณภาพสินทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปี 2558 ไม่ แข็งแกร่งเช่นที่ประเมินไว้เดิมภายใต้ภาพรวมเศรษฐกิจที่ไม่เป็นใจ จึงนำไปสู่การลดประมาณการและ FV เหลือ 165 บาท แนะรอเข้าลงทุนเมื่อหุ้นปรับฐานช่วงสั้นไปแล้ว


บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (2 ก.ค.) ว่า ฝ่ายวิจัยคาดธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB จะมีกำไรสุทธิไตรมาส 2/58 เท่ากับ 1.25 หมื่นล้านบาท หดตัว 4.8% จากไตรมาสก่อน และ14.9% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน แม้จะเห็นปัจจัยหนุนจากการลดลงของค่าใช้จ่ายพิเศษที่บันทึกเข้ามาในไตรมาส 1/58 คิดเป็นยอดรวมสุทธิจากภาษีฯ กว่า 1 พันล้านบาท

แต่ปัจจัยกดดันในงวดนี้ที่มีน้ำหนักมากกว่าต่างเรียงหน้าเข้ามา นำโดยคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ จากการที่ธนาคารฯ ตัดสินใจเพิ่ม credit cost ในไตรมาส 2/58 ขึ้นมาที่ราว 94bp จาก 80bp ในไตรมาส 1/58 และเพิ่มเป้าหมาย credit cost ทั้งปี 2558 ขึ้นมาที่ราว 100bp สูงกว่าระดับนโยบายเดิมที่กำหนดไว้ในช่วง 75-80bp เนื่องจากเห็นแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของ NPL ที่สูงกว่าเป้าหมายที่ประเมินไว้ 2.1-2.3% มาที่ 2.3-2.5% ของสินเชื่อรวมในปี 2558

ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของ NPL ในกลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อ SME และการเพิ่มสำรองบางส่วนขึ้นไปอีกสำหรับลูกหนี้ SSI ที่จัดชั้นในกลุ่มสินเชื่อ SML ซึ่งได้กันสำรองไปแล้วสัดส่วน 36% ของมูลหนี้ 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ภาพรวมของธุรกิจหลักในไตรมาส 2/58 ส่วนใหญ่ค่อนข้างทรงตัวจากงวดก่อนหน้า ตามสภาพเศรษฐกิจ ทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รายได้ค่าธรรมเนียมฯ และรายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ

โดยรวมแล้ว คาดการณ์กำไรสุทธิในงวดครึ่งปีแรกของปี 58 เท่ากับ 2.56 หมื่นล้านบาท หดตัว 7.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วนเพียง 47% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2558 ที่ประเมินไว้เดิม

 

จากเป้าหมายธุรกิจหลักที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่แผ่วตัวลงและระมัดระวังมากขึ้น จึงนำไปสู่การปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2558-59 ลง 7.9% และ 10.7% จากเดิม เพื่อสะท้อนการปรับลด
สมมติฐานการเติบโตของสินเชื่อสุทธิ รายได้ค่าธรรมเนียมฯ รายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ

พร้อมทั้งปรับเพิ่มสมมติฐานค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ และ credit cost เพิ่มขึ้น โดยภายหลังปรับประมาณการส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2558 ลดลง 5.5% จากไตรมาสก่อน แต่จะพลิกกลับมาเติบโต 9.7% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ในปี 2559 จากฐานกำไรที่ต่ำในปี 2558 และความคาดหมายในทิศทางบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากปี 2558

 

ฝ่ายวิจัยยังแนะนำเพียงถือเพื่อรับเงินปันผลสำหรับ SCB เนื่องจาก upside ที่ยังจำกัดมาก เมื่อเทียบกับ Fair value ปี 2558 ภายหลังปรับปรุงเหลือ 165 บาท (จากเดิม 180 บาท) อิง PBV 1.77 เท่าตามวิธี GGM ภายใต้คาดการณ์ ROE ระยะยาวเท่ากับ 17.5% (จากเดิม 18.8%)

 

 

ด้านบล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (2 ก.ค.) ว่า ฝ่ายวิจัยชอบ SCB ในแง่ของการควบคุมต้นทุนได้ดีเยี่ยมเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่กำไรที่ลดลงในปีนี้ และความกังวลของตลาดเกี่ยวกับสถานะสินเชื่อของบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI จะกดดันราคาหุ้นในอีกหกเดือนข้างหน้า

ขณะที่คาดว่า EPS ปีนี้จะลดลง 7% และ ROE จะลดลงเหลือ 16.5% จาก 20% ในปี 2557 ราคาเป้าหมายของเราที่ 165 บาท คิดเป็น P/E ปี 2558 ที่ 11.3 เท่า และ P/BV ที่ 1.8 เท่า โดยมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 3.5% ยังไม่เป็นปัจจัยที่จะช่วยกระตุ้นราคาหุ้นได้ในระยะสั้น แนะนำให้ถือ

Back to top button