ERW คาดกำไรปีนี้-ปีหน้าฟื้นตัวสดใสแนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 5.70 บาท
ERW คาดการณ์กำไรปีนี้และปีหน้าฟื้นตัวสดใส นั่นคือ ปีนี้พลิกกลับมามีกำไรหลักที่ 268 ล้านบาท เทียบกับปี 57 ที่ขาดทุน 115 ล้านบาท แรงผลักดันที่สำคัญคือ 1) การดำเนินงานโรงแรมฟื้นตัวดี 2) มีการขยายโรงแรม และ 3) อัตรากำไรสุทธิดีขึ้น เนื่องจากอัตราการเข้าเช่า (OR) สูงขึ้น ด้านกลยุทธ์ขณะนี้คือ ขยายไปยังโรงแรมที่ไม่เน้นหรูหรา แต่มีการเติบโตสูง ซึ่งปกติจะให้อัตรากำไรที่มาก เพราะใช้เงินลงทุนน้อยและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ต่ำแนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 5.70 บาท
บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (6 ก.ค.) ว่า บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW นับได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย ทั้งการลงทุน พัฒนาและบริหารโรงแรม มาตั้งแต่ปี 2525 จุดเด่นคือ พอร์ตฟอลิโอโรงแรมของบริษัทมีการกระจายความเสี่ยงที่ดี ประกอบด้วยการเจาะตลาดตั้งแต่ระดับหรูหราไปจนถึงแบบประหยัด (budget hotel) ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ ERW มีฐานรายได้ที่แข็งแกร่งและมีการกระจายประเภทลูกค้าที่หลากหลาย ปัจจุบันกลุ่ม ERW มีทั้งหมด 28 โรงแรม ภายใต้แบรนด์ของโรงแรมถึง 10 แห่ง จำนวนห้องมากถึง 5,289 ห้อง ทั่วประเทศ โดยมีการใช้แบรนด์ทั้งต่างประเทศและแบรนด์ของตนเอง
คาดการณ์กำไรปีนี้และปีหน้าฟื้นตัวสดใส นั่นคือ ปีนี้พลิกกลับมามีกำไรหลักที่ 268 ล้านบาท เทียบกับปี 57 ที่ขาดทุน 115 ล้านบาท แรงผลักดันที่สำคัญคือ 1) การดำเนินงานโรงแรมฟื้นตัวดี 2) มีการขยายโรงแรม และ 3) อัตรากำไรสุทธิดีขึ้น เนื่องจากอัตราการเข้าเช่า (OR) สูงขึ้น ด้านกลยุทธ์ขณะนี้คือ ขยายไปยังโรงแรมที่ไม่เน้นหรูหรา แต่มีการเติบโตสูง ซึ่งปกติจะให้อัตรากำไรที่มาก เพราะใช้เงินลงทุนน้อยและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ต่ำ
ดังนั้นบริษัทจึงวางแผนที่จะออกโรงแรมในแบรนด์ของตนเองคือ Hop Inn budget hotel อีกจำนวน 4 แห่งใน ไตรมาส4/58 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 10 แห่ง และปีหน้าอีก 11 แห่งทั่วประเทศไทย อีกทั้งจะรุกตลาดต่างประเทศคือ ฟิลิปปินส์ เป็นแห่งแรก ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงการก่อสร้าง ส่วนประเทศต่อๆไปคือ อินโดนีเซียและมาเลเซีย โดยในช่วง 5 ข้างหน้าจะมีโรงแรม Hop Inn ในไทย 40 แห่ง และต่างประเทศอีก 30 แห่ง นอกจากนี้บริษัทวางแผนที่จะทำสัญญารับบริหารที่จะขยายโรงแรมขนาดกลาง และเน้นการประหยัด
เริ่มทำการวิเคราะห์ ERW ด้วยคำแนะนำ ซื้อ โดยคาดว่าอัตราการเติบโตกำไรเฉลี่ยCAGR ในรอบ 3 ปีเป็น 39% นอกจากนี้บริษัทยังสามารถทำกำไรก้อนโตได้ ด้วยการขายสินทรัพย์เข้าสู่กองทุน REIT ในไตรมาส 4/58 หรือไตรมาส 1/59 และนำจากการขายไปชำระคืนหนี้ การขยายธุรกิจ และจ่ายเป็นปันผล ประเมินราคาพื้นฐานเป็น 5.70 บาท ด้วยวิธีส่วนคิดลดกระแสเงินสดสุทธิ (DCF) ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีกถึง 33%