JMT โตก้าวกระโดดใน 3-4 ปีข้างหน้ามองเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาว
JMT เติบโตก้าวกระโดดใน 3-4 ปีข้างหน้า หลังจากที่บริษัทได้ทยอยตัดจำหน่ายต้นทุนหมดไปและบริษัทเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาเป็นรายได้ทั้งหมด ส่งผลให้รายได้จะเติบโตสูงในช่วงดังกล่าว เรามีมุมมองเชิงบวกในระยะยาวจากการรับรู้รายได้ก้าวกระโดดในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า แต่ในระยะสั้นมีความเสี่ยงที่การเก็บหนี้อาจจะต้องใช้เวลานานขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (8 ก.ค. ) ว่า บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ดำเนินธุรกิจติดตามเร่งรัดหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถ/มอเตอร์ไซด์ โดยบริษัทมีประสบการในการบริหารและจัดการหนี้มายาวนาน ธุรกิจซื้อหนี้มาบริหารจากสถาบันการเงิน โดยซื้อหนี้มาเพียง 5% ของมูลหนี้ทั้งหมด ถือว่าซื้อได้ถูกและในช่วงที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีมีอัตรากำไรสุทธิ 20.68% ในปี 2556 และ 24.70% ในปี 2557 และ 22.04% ในไตรมาส 1/2558
บริษัทบริษัทตั้งเป้าซื้อหนี้มาบริหารจัดการ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี จากปัจจุบันที่ 73,411 ล้านบาทและจะซื้อจนมูลค่าในพอร์ตเพิ่มขึ้นเป็น 2 แสนล้าน โดยการซื้อหนี้มาบริหารจำนวนมากนี้ จะส่งผลให้การบันทึกรายได้ในช่วงที่ซื้อหนี้เพิ่มมีการบันทึกรายได้อยู่ในระดับต่ำ และจะกลับมาบันทึกรายได้เพิ่มขึ้นมากในช่วง 3-4 ปีหลังจากนั้น
บริษัทตั้งเป้ากำไรสุทธิเติบโต 33% ในปี 59 และในปี 60 ตั้งเป้าว่าจะมีกำไร 320 หรือคิดเป็นการเติบโตอีก 33% จากปี 606 อย่างไรก็ตาม หากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่าที่คาด เราประเมินว่าจะเป็นปัจจัยกดดันให้มีการจัดเก็บหนี้ช้ากว่าที่บริษัทคาดไว้ และส่งผลให้การเติบโตอยู่ในระดับต่ำกว่าที่บริษัทประเมินไว้
คาดว่าการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจะเกิดขึ้นในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า หลังจากที่บริษัทได้ทยอยตัดจำหน่ายต้นทุนหมดไปและบริษัทเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาเป็นรายได้ทั้งหมด ส่งผลให้รายได้จะเติบโตสูงในช่วงดังกล่าว เรามีมุมมองเชิงบวกในระยะยาวจากการรับรู้รายได้ก้าวกระโดดในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า แต่ในระยะสั้นมีความเสี่ยงที่การเก็บหนี้อาจจะต้องใช้เวลานานขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว
ภาพรวมมีมุมมองเชิงบวกในระยะยาว โดยราคาซื้อขายปัจจุบันสูงกว่าราคา PP ที่ 14.20 บาท จำนวน 45 ล้านหุ้นคิดเป็น 12.19% ของหุ้นทั้งหมดไม่มากนัก แม้ว่าจะซื้อขายที่ P/B ที่ 8.39 ถือว่าสูง แต่การใช้ DCF แทนจะเหมาะสมกว่า โดยตลาดประเมินมูลค่าพื้นฐานอยู่ในช่วง 23.30-25 บาท