จังหวะทองสะสม BJCHI ช่วงอ่อนตัวครึ่งปีหลังโตเด่น Upside ยังน่าสนใจ

BJCHI แนวโน้มกำไร Q2/58 ชะลอตัว หลังโครงการ FPSOs P75&P77 ประสบปัญหาหยุดงานบางส่วน ทำให้ต้องปรับลดประมาณการกำไรปีนี้ลง 10% แต่สถานการณ์ปัจจุบันที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เชื่อกำไร 2H58 จะกลับมาเติบโตโดดเด่น คงคำแนะนำ ซื้อ


บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ก.ค.) ว่า การรับรู้รายได้ที่ขาดช่วงไตรมาส 2/58 ของบริษัท บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ BJCHI หลังโครงการ Roy hill ในออสเตรเลียจบลง ขณะที่โครงการหลักที่ดำเนินการอยู่ คือ FPSOs P75&P77 ประสบปัญหาต้องหยุดงานบางส่วนชั่วคราว เนื่องจากผู้ว่าจ้างคือ QGI มีปัญหาเจรจาค่างานกับเจ้าของโครงการคือ Petrobras จึงคาดว่าไตรมาส 2/58 BJCHI จะมีรายได้ลดลงเหลือเพียง 720 ล้านบาท

โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างการ Standby เพื่อรอความชัดเจนของงาน FPSOs P75&P77 ทำให้ gross margin ไตรมาสนี้ ลดลงต่ำกว่าปกติมาอยู่ที่ 25% รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่จะสูงกว่าปกติเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม เงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าลงเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์ออสเตรเลีย จะทำให้เกิดกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 100 ล้านบาท เมื่อแปลงสินทรัพย์ที่มีในสกุลดอลลาร์ออสเตรเลียทั้งลูกหนี้การค้าและเงินประกันผลงานมาเป็นเงินบาท จึงคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 2/58 ไว้ที่ 176 ล้านบาท ลดลง 24% จากปีก่อน

 

หลัง QGI ประสบความสำเร็จในการเจรจากับ Petrobras คาดว่าโครงการ FPSOs P75&P77 จะกลับมาดำเนินการก่อสร้างได้ตามปกติอีกครั้งในเดือน ส.ค. นี้ ขณะที่โครงการ TUPI ซึ่งเป็นโครงการที่ BJCHI รับตรงจาก Petrobras และให้ margin สูง จะเริ่มรับรู้รายได้เต็มที่ตั้งแต่ไตรมาส 3/58 เป็นต้นไป

โดยการปรับแผนเพื่อเร่งรับรู้รายได้โครงการ TUPI ให้เพิ่มขึ้นจาก 2.7 พันล้านบาท เป็น 3 พันล้านบาทจากมูลค่าโครงการทั้งหมด 5.4 พันล้านบาท เพื่อชดเชยรายได้โครงการ FPSOs P75&P77 ที่ลดลง จะทำให้เห็นผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างโดดเด่นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 58

ในส่วนงานประมูลใหม่ มีงาน High Potential ประมาณ 5 พันล้านบาท ที่จะประกาศทยอยทราบผลปลายปีนี้ ซึ่งมีทั้งงานโครงการ ปิโตรเคมีในอเมริกา โครงการอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลีย และโครงการ FPSO ชอง Petrobras

 

โครงการ FPSOs P75&P77 ที่ประสบปัญหาล่าช้าไปประมาณ 4 เดือน ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรปี 2558 ลงจากเดิม 10% เหลือ 1,068 ล้านบาท ส่งผลให้ Fair Value ที่ประเมิน โดยอิง PER 12 เท่า ลดลงจาก 9.40 บาท เหลือ 8.50 บาท แต่ยังให้ Upside สูงถึง 15.7% บวกกับแนวโน้มผลประกอบการช่วงครึ่งหลังปี 25 ที่จะกลับมาเติบโตก้าวกระโดดเทียบกับครึ่งปีแรก จึงแนะนำ ซื้อ

Back to top button