KCE คาดกำไรหลักไตรมาส 2/58 แจ่มมองได้ประโยชน์บาทอ่อนค่าแนะนำซื้อ
บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (29 ก.ค. ) ว่า บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE คาดการณ์กำไรหลักไตรมาส 2/58 สดใส เป็น 586 ล้านบาท เพิ่ม 22% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 15% เทียบไตรมาสก่อนหน้าแต่คาดว่าจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้น 58 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ เนื่องจากเงินกู้ต่างประเทศระยะยาว 45 ล้านเหรียญสหรัฐ
บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (29 ก.ค.) ว่า บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE คาดการณ์กำไรหลักไตรมาส 2/58 สดใส เป็น 586 ล้านบาท เพิ่ม 22% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 15% เทียบไตรมาสก่อนหน้าแต่คาดว่าจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้น 58 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ เนื่องจากเงินกู้ต่างประเทศระยะยาว 45 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนสาเหตุที่กำไรหลักไตรมาสนี้ดี เพราะรายได้สกุลเหรียญสหรัฐเพิ่ม 6% ตามคำสั่งซื้อ PCB ที่ดีขึ้น แต่จากการที่บาทอ่อนค่าส่งผลดี 2 ประการคือ 1) รายได้สกุลบาทเพิ่ม 9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 2) อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นเป็น 30.5% เทียบกับ เทียบไตรมาสก่อนหน้าที่ 28.9% แต่ยังต่ำกว่า เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่สูงถึง 31.4% สำหรับกำไรหลัก ครึ่งแรกปี 58 เป็น 1.1 พันล้านบาท เพิ่ม 20% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและคิดเป็น 46% จากประมาณการกำไรหลักปี 58
โดยคาดว่าเงินปันผลระหว่างกาลในรอบครึ่งแรกปี 58 จะจ่ายตามมาหลังประกาศกำไรในไตรมาส 2/58และจะสูงกว่าปีก่อนที่ 0.40 บาท เล็กน้อย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผลที่ประมาณ 0.8%
สถานการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตในโรงงานแห่งใหม่ที่ลาดกระบังเฟส 1 ดีขึ้นต่อเนื่อง คือ อัตราการใช้กำลังการผลิตเป็น 50% เทียบกับไตรมาส 1/58 ที่ 30% ถือว่าถึงจุดคุ้มทุนแล้ว ขณะที่อัตราของเสียอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจคือไม่สูงมากเป็น 4% บริษัทให้แนวทางว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตใน ไตรมาส 3/58 เพิ่มขึ้นอีกเป็น 60-70% (ทำให้รายได้ ไตรมาส 3/58 เพิ่มอีก 5-10% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) และเมื่อถึงไตรมาส 4/58 จะมีการย้ายการผลิตจากโรงงานเก่ามายังโรงงานใหม่เสร็จ จะทำให้เพิ่มขึ้นไปอีกเป็นประมาณ 80% ข้อดีคือ จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นตามลำดับ อีกทั้งเมื่อถึงไตรมาส 4/58 เมื่อย้ายเสร็จและปิดโรงงานเก่าไปแล้ว จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้กว่า 10 ล้านบาทต่อเดือน
แผนการเพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานใหม่ยังเป็นไปตามแผนคือ จากกำลังการผลิตเฟส 1 ซึ่งเป็นเฟสใหม่มีกำลังการผลิตเพิ่มอีก 7 แสนตารางฟุตต่อเดือน ส่วนเฟส 2 ย้ายจากโรงงานเดิมมากำลังการผลิตเพิ่มอีก 6 แสนตารางฟุตต่อเดือน บริษัทคาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตสำหรับเฟส 1 และ 2 จะไปถึง 100% ได้กลางปี 59 และจะเริ่มเฟส 3 อีก 6 แสนตารางฟุตต่อเดือน โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 1.4 พันล้านบาท
สาเหตุที่บริษัทมั่นใจในเรื่องอุปสงค์ PCB ของบริษัท จึงเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง คือ 1) ส่วนครองตลาดยังต่ำ สำหรับตลาดรถยนต์เป็นเพียง 6-7% และทุกตลาดเป็น 1% จึงมีช่องว่างที่จะเติบโตได้อีกมาก 2) หากต้องการเพิ่มยอดขาย ก็สามารถใช้วิธีลดอัตรากำไรลงบ้าง และ 3) สถานการณ์บาทอ่อนค่า ทำให้สินค้าดูมีราคาถูกลง และมี ความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน เทียบกับคู่แข่งจีนที่กำหนดค่าเงินหยวนไว้คงที่ จึงไม่ได้รับประโยชน์
คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาหุ้นที่ปรับลงทำให้มีส่วนเพิ่มเทียบกับราคาพื้นฐานได้ 7% ราคาพื้นฐาน 55 บาท แต่เมื่อผนวกกับคาดการณ์อัตราผลตอบแทนปันผลปีนี้ที่ 3.3% จะทำให้มีผลตอบแทนรวมที่ 10.3% นอกจากเรื่องบวกข้างต้นคือ คาดกำไรหลักไตรมาส 2/58สดใส และได้ประโยชน์บาทอ่อนค่าแล้ว ราคาทองแดงซึ่งเป็นสัดส่วนต้นทุน 10% ที่ปรับตัวลงมากในขณะนี้ก็จะทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลงได้อีกด้วย แต่ราคาทองคำที่ปรับลง มีผลดีเล็กน้อย เพราะเป็นสัดส่วนเพียงประมาณ 0.1-0.2% ของต้นทุนการผลิตเท่านั้น