TH ภาวะเศรษฐกิจซบเซากดดันธุรกิจแนะนำซื้อลงทุนระยะยาวเป้า 2.5 บ.
TH ยอดขายของสาขาแรกต่ำกว่าเป้าหมาย การเปิดสาขาใหม่อาจล่าช้ากว่าแผน อีกทั้งกำลังเร่งปรับแผนกลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขาย ระยะเวลาคุ้มทุน & การทำกำไรเลื่อนออกไป แนะนำซื้อ ปรับราคาพื้นฐาน (DCF) เป็น 2.50 บาท
บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (4 ส.ค.) ว่า บริษัท ตงฮั้ว คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TH บริหารจัดการต้นทุนได้ตามเป้าหมาย แต่รายได้ยังต่ำกว่าที่ตั้งไว้ เราได้ทำการ Update ข้อมูลกับทางบริษัทพบว่าหลังจากบริษัทย่อย ดีดี ธัญการย์ (DD) เปิดสาขา Low Cost Supermarket (LCS) แรกไปทำเลวัชพลเมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา พบว่ายอดขายยังต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลจาก 1) การทำโปรโมชั่นที่ไม่ได้ Aggressive มาก, 2) ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการซื้อขาย ซึ่งบริษัทได้ปรับกลยุทธ์ด้านการตลาดเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นบ้างและคาดว่าจะมากขึ้นในระยะต่อไป ด้านต้นทุนสามารถบริษัทจัดการได้ดี โดยค่าก่อสร้างสาขาอยู่ในงบประมาณที่ตั้งไว้ 12 ล้านบาท ค่าตกแต่งร้านต่ำกว่างบประมาณ 20% ที่ประมาณ 4 ล้านบาท
ทยอยเปิดสาขาเพิ่มแต่อาจจะไม่ถึง 14 แห่งตามเป้าหมาย ทาง DD มีแผนจะเปิดสาขาที่ 2 ในสิ้นก.ย.นี้ ทำเลแถวรัตนาธิเบศน์ ขณะที่กำลังก่อสร้าง ส่วนสาขาที่เหลืออีก 12 แห่งจะทยอยเปิดต่อเนื่องไปถึงสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าจำนวนสาขาในสิ้นปี 58 อาจจะไม่ถึง 14 แห่งตามที่บริษัทได้ตั้งเอาไว้ เพราะภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่อ่อนแอ ในประมาณการใหม่เราให้ไว้ที่ 10 แห่งในสิ้นปี 58
กำลังปรับแผนธุรกิจเพื่อลดการลงทุนลงแต่ให้มียอดขายต่อตรม.ที่ดีขึ้น ซึ่งบริษัทกำลังพิจารณาอยู่หลายแนวทาง เช่น การลดขนาดของสาขาลงและไปเปิดในทำเลที่มีจำนวนประชากรหนาแน่นมากขึ้น, ปรับลดการซื้อที่ดินแล้วเปลี่ยนเป็นเช่าที่ดินระยะยาวมากขึ้น (ซึ่งค่าที่ดินจะคิดเป็นประมาณ 60-65% ของเงินลงทุนต่อสาขา), เช่าพื้นที่อาคารพาณิชย์เพื่อเปิดสาขาขนาดเล็ก ฯลฯ ซึ่งการปรับแผนนี้คาดว่าจะช่วยให้มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ธุรกิจเพิ่งเริ่มเปิดดำเนินการจึงอยู่ในช่วง Fine-tune เพื่อหาจุดลงตัวของธุรกิจ ซึ่งอาจต้องใช้เวลามากขึ้นในยามที่เศรษฐกิจซบเซา
ปรับลดประมาณการยอดขายและกำไรของบริษัทลง เพื่อสะท้อนยอดขายที่ต่ำกว่าเป้าหมายในช่วงที่ผ่านมา และเลื่อนระยะเวลาถึงจุดคุ้มทุน (Break even) ของบริษัทออกไปเป็น ไตรมาส 2/60 (เดิมไตรมาส 3/59) ดังนั้นในประมาณการใหม่ปี 58-59 บริษัทจะยังขาดทุนสุทธิ 94 ล้านบาทและ 73 ล้านบาท ตามลำดับ แล้วพลิกเป็นกำไรสุทธิในปี 60 เท่ากับ 47 ล้านบาท และเติบโตเป็น 120 ล้านบาทในปี 61 ทั้งนี้มีสมมติฐานว่าการเปิดสาขาใหม่ในปี 58-59-60 เท่ากับ 10-27-30 แห่ง (ต่ำกว่าเป้าหมายบริษัทที่ 14-32-32 แห่ง) และเปิดสาขาใหม่ปีละ 32 แห่งตามเป้าหมายได้ตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นไป, อัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมอยู่ที่ 5% ต่อปีในช่วงปี 59-60 และเท่ากับ 3% ต่อปีตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นไป
แนะนำซื้อลงทุนระยะยาว โดยปรับราคาตามพื้นฐานที่ประเมินด้วยวิธี DCF ลงเป็น 2.50 บาท (เดิม 3.08 บาท) ทั้งนี้บริษัทจะมีเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (R/O) สัดส่วน 2 : 1 ราคาหุ้นละ 1 บาท กำหนด XR วันที่ 17 ส.ค.58 เพื่อนำเงินสำรองไว้เพื่อการลงทุนขยายสาขา ซึ่งหากเพิ่มทุนได้ครบทั้งหมดก็จะได้เงินเข้ามาประมาณ 480 ล้านบาท รวมกับเงินสดในมือปัจจุบันก็จะมีเงินสดราว 1.5 พันล้านบาทไว้ใช้ในการขยายธุรกิจในอนาคต นอกจากนั้นบริษัทยังมีหุ้น PP อีก 500 ล้านหุ้นที่รอจัดสรรให้กับพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งยังไม่กำหนดระยะเวลาในการจัดสรร ทั้งนี้ราคาพื้นฐานข้างต้นได้สะท้อนจำนวนหุ้นจากการเพิ่มทุน R/O, PP และจากการแปลงสภาพ W1+W2 ไว้ทั้งหมดแล้ว โดยไม่มีการให้ Share Premium เพื่อความอนุรักษ์นิยม