CPALL ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่ม 600 แห่งปีนี้แคมเปญแสตมป์ 7 หนุนกำไร Q3 แข็งแกร่ง

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า เหตุระเบิดในกรุงเทพคาดจะกระทบ CPALL เพียงแค่ในระยะสั้นเท่านั้น คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/58 จะเพิ่มขึ้น 22.8% จากปีก่อนเป็น 3.3 พันล้านบาท มีเป้าที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 600 แห่งเป็น 8,727 สาขาในปีนี้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 65 บ.


บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (19 ส.ค.) คาดว่าเหตุระเบิดในกรุงเทพคาดจะกระทบบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เพียงแค่ในระยะสั้นเท่านั้น เพราะประเมินรัฐบาลจะเร่งสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ในไม่ช้า

ขณะเดียวกันสินค้าส่วนใหญ่ของ CPALL เป็นอาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งเป็นสินค้าที่สำคัญกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภค และการเข้า 7-Eleven กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของผู้บริโภคไปแล้ว เนื่องจากทำเลที่ตั้งของสาขาทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายและมีสินค้าหลากหลายที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารประเมินหากสถานการณ์ยืดเยื้อยาวนาน อาจทำให้ same store sales growth ในครึ่งหลังของปีนี้อยู่ที่ 1.0%

ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/58 จะเพิ่มขึ้น 22.8% จากปีก่อนเป็น 3.3 พันล้านบาท โดยมีสมมติฐานสำคัญดังนี้ i) ยอดขายโตถึง 9.5% จากปีก่อนเป็น 9.6 หมื่นล้านบาท จากความสำเร็จของโครงการแสตมป์เซเว่น ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม ไปจนถึง 25 พฤศจิกายน 2558 และการรวมผลการดำเนินงานของ Siam Makro (MAKRO.BK / MAKRO TB) เข้ามาไว้ในงบของบริษัท และ ii) อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่เพิ่มขึ้น 10bps เป็น 21.6% ในไตรมาสที่ 3/58 เนื่องจากมีสัดส่วนของสินค้าอาหารสูงซึ่งมีอัตรากำไรสูงกว่าสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร (26.2% จาก 25.5% ในครึ่งแรกของปีนี้)

ขณะที่บริษัทมีเป้าที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 600 แห่งเป็น 8,727 สาขาในปีนี้ และใช้กลยุทธ์การนำเสนอสินค้าและแคมเปญการตลาดใหม่ๆ ต่อผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ผู้บริโภคเกิดความประทับใจและสร้างความแตกต่างให้กับเซเว่น ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้ามาจับจ่ายที่ร้านเซเว่นเป็นประจำ เนื่องจากเราคาดว่า SSSG ปีนี้จะฟื้นตัวเป็น 3.0-4.0% จาก -2.6% ในปี 2557

รวมถึงแผนการขยายสาขาต่อเนื่องของทั้ง CPALL และ MAKRO จึงคาดว่ายอดขายปี 2558 จะเพิ่มขึ้นถึง 14.4% จากปีก่อนเป็น 4.91 แสนล้านบาท ในขณะเดียวกัน synergy ที่เกิดจากกิจการของ CPALL และ MAKRO รวมถึงสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ลงตัวก็น่าจะทำให้ GPM อยู่ที่ 20.0% และเมื่อรวมกับดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงก็น่าจะทำให้กำไรสุทธิปี 2558 เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อนเป็น 1.32 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้จากแนวโน้มธุรกิจที่แข็งแกร่งในระยะต่อไป จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายที่คำนวณโดยวิธีDCF ซึ่งขยับไปใช้ราคาปี 59 ที่ 65 บาท จากเดิม 52.50

 

Back to top button