WHA ปี 58-59 จะมีแรงกดดันของตลาดจากความกังวลของกำไรที่ไม่แน่นอน
WHA เริ่มบทวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ NEUTRAL ที่ราคาเป้าหมาย 3.71 บาท (SOTP) จากที่เรามองว่าตลาดรับรู้ประเด็นบวกของแนวโน้มกำไรปกติที่คาดเติบโตเฉลี่ย 62% CAGR ในช่วง 58-60 ซึ่งมาจากการซื้อกิจการ HEMRAJ ไปแล้ว (ราคาปรับตัวขึ้น 14% นับแต่ประกาศซื้อกิจการ ณ 26 ธ.ค. 14) ในขณะที่คาดในช่วงปี 58-59 จะยังมีแรงกดดันจากความกังวลของตลาดต่อความไม่แน่นอนของกำไร หากบริษัทไม่สามารถขายทรัพย์ฯ และชำระหนี้ที่เกิดจากการซื้อกิจการได้อย่างที่คาด
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ (24 ก.ย.) ว่า บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เริ่มบทวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ NEUTRAL ที่ราคาเป้าหมาย 3.71 บาท (SOTP) จากที่เรามองว่าตลาดรับรู้ประเด็นบวกของแนวโน้มกำไรปกติที่คาดเติบโตเฉลี่ย 62% CAGR ในช่วง 58-60 ซึ่งมาจากการซื้อกิจการ HEMRAJ ไปแล้ว (ราคาปรับตัวขึ้น 14% นับแต่ประกาศซื้อกิจการ ณ 26 ธ.ค. 14)
ในขณะที่คาดในช่วงปี 58-59 จะยังมีแรงกดดันจากความกังวลของตลาดต่อความไม่แน่นอนของกำไร หากบริษัทไม่สามารถขายทรัพย์ฯ และชำระหนี้ที่เกิดจากการซื้อกิจการได้อย่างที่คาด
ทั้งนี้แม้เราคาดแนวโน้มกำไรปกติจะเติบโตใน 58-60 แต่เป็นการเติบโตจากฐานต่ำใน 57 ที่มีเฉพาะส่วนของ WHA และถือว่าเป็นการเติบโตที่น้อยกว่าในอดีตช่วง 55-57 ที่เติบโตได้เฉลี่ย 160% CAGR นอกจากนี้แม้เราคาดแนวโน้มธุรกิจของบริษัทยังแข็งแกร่งในระยะยาว แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับในอดีตที่เป็นช่วงของการขยายตัวสูง
โดยมองว่าผู้ถือหุ้น WHA จะได้ประโยชน์จากการซื้อกิจการของ HEMRAJ ในส่วนของความแข็งแกร่งในธุรกิจเดิม แต่ไม่ได้มาจาก synergy ซึ่งเราคาดมาจากที่ i) ราคาในการซื้อกิจการไม่สูง (implied PER 15.0-16.0x) และทำให้ ii) ผลกำไรที่ได้รับจาก HEMRAJ เพียงพอชดเชยต้นทุน (ดอกเบี้ยเงินกู้ฯ + dilution ต่อกำไรของ WHA ที่เกิดจาก RO) ประกอบกับ iii) ช่วงเวลาการซื้อกิจการเหมาะสมกับช่วงของธุรกิจคลังสินค้าให้เช่าของ WHA ที่ชะลอการเติบโตลง ซึ่งหลังการขายทรัพย์ฯเพื่อชำระหนี้เงินกู้ฯ เรามองบริษัทจะมีขอบเขตธุรกิจที่ครบวงจรมากขึ้น บนความแข็งแกร่งเดิมของ HEMRAJ
คาดบริษัทจะรักษาความเป็นผู้นำทั้งในส่วนของการขายที่ดินนิคมฯ (ธุรกิจหลักของ HEMRAJ) และส่วนของคลังสินค้าให้เช่า (ธุรกิจหลักของ WHA) ได้ในระยะยาว จากที่มี location ที่ดี มีฐานลูกค้ามีคุณภาพ และคุณภาพสินค้าเป็นที่ยอมรับ ซึ่งจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากแนวโน้มความต้องการขยายกำลังการผลิตของลูกค้าในกลุ่มนิคมฯ (ในระดับปกติ) และความต้องการพื้นที่คลังสินค้าต่อเนื่องในอนาคต แต่เป็นระดับที่ชะลอลงจากช่วง 55-57 ที่เป็นช่วงเติบโตสูง
แม้บริษัทอาจมี upside จาก i) ธุรกิจใหม่อย่าง waste-to-energy และ ii) โอกาสในการขยายธุรกิจจากการซื้อกิจการเพิ่ม ในกรณีใกล้เคียงกับแบบ HEMRAJ แต่เรามองว่า i) ความเป็นไปได้ยังไม่แน่นอน และ ii) ต้องรอการจัดการหนี้ท่าเกิดจากการซื้อ HEMRAJ ในช่วง 58-59 ไปก่อน