โบรกแนะ “ซื้อ” SCB เป้า 118 บ. หลังจ่อปิดดีลซื้อ “โฮมเครดิต เวียดนาม” หนุนสร้างกำไรแกร่ง

SCB โบรกแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 118 ล้านบาท หลังใกล้ปิดดีลซื้อ Home Credit Vietnam มูลค่า 2.86-3.22 หมื่นล้านบาท ชี้ธุรกิจสินเชื่อรายย่อยในเวียดนามเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรที่ดีมาก ยีลด์สูงกว่าไทย


FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์ว่า อ้างอิงจากการรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุถึง บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ว่า บริษัทใกล้จะบรรลุข้อตกลงการเข้าซื้อกิจการของ Home Credit Vietnam ด้วยมูลค่าราว 800-900 ล้านเหรียญฯ (เทียบเท่า 2.86-3.22 หมื่นล้านบาท) ซึ่งก่อนหน้านี้ มีรายชื่อของธนาคารที่เข้าร่วมประมูลซื้อที่เปิดเผยออกมาได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และ ธนาคารเคบี คุกมิน แบงก์ (KB Kookmin Bank) ในเครือบริษัทเคบี ไฟแนนเชียล กรุ๊ปของเกาหลีใต้ โดยราคาที่เสนอซื้อที่เปิดเผยก่อนหน้านี้อยู่ที่ระดับราว 700 ล้านเหรียญฯ (เทียบเท่า 2.50 หมื่นล้านบาท)

สำหรับ Home Credit Vietnam เป็นธุรกิจในเครือ Home Credit Group ซึ่งเป็นธุรกิจ non-bank สัญชาติเนเธอร์แลนด์ โดย Home Credit Vietnam เริ่มดำเนินธุรกิจในปี 2551 มีพนักงานราว 6,000 คน และมีฐานลูกค้า 15 ล้านราย และบริษัทมีสาขาจำนวน 1.6 หมื่นแห่งในเวียดนาม โดยมีการปล่อยสินเชื่อรายย่อย รวมทั้งให้สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ และสินค้าเพื่อผู้บริโภค

ทั้งนี้ การขยายการลงทุนไปต่างประเทศของ SCB นั้นเป็นไปตามแผนงานในปี 2567 ที่บริษัทแสวงหาโอกาสการขยายธุรกิจไปเติบโตในภูมิภาค ถึงแม้ในปัจจุบันรายได้และกำไรจากธุรกิจในต่างประเทศของ SCB แทบไม่มีนัยยะสำคัญต่องบการเงิน โดยขยายธุรกิจครั้งนี้ อยู่ในภายใต้ข้อกำหนดการลงทุนที่เน้นสร้างรายได้ให้กับกิจการได้ทันที (inorganic growth) และจะต้องเกิดความร่วมมือ (ซินเนอร์ยี่) กับธุรกิจสินเชื่อรายย่อยของธนาคารฯ ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ธนาคารฯ ยังไม่ได้ให้กรอบเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตและสัดส่วนรายได้และกำไรของธุรกิจในต่างประเทศที่เป็นตัวเลขชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1) มูลค่าของกิจการที่จะเข้าซื้อ (มูลค่าถูกหรือแพง) 2) คุณภาพของสินทรัพย์ของกิจการที่จะเข้าไปซื้อ โดยพิจารณาจากหนี้เสีย (NPL) และต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (credit cost) หากมี NPL สูง และตั้ง credit cost สูง อาจไม่ได้ช่วยเพิ่มศักยภาพการทำกำไรของกลุ่มฯ ได้ตามที่คาดหวัง

รวมถึง 3) ผลกระทบต่อเงินกองทุนของ SCB ซึ่งประเด็นนี้ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าไม่ได้เป็นที่น่ากังวล เนื่องจากปัจจุบัน CAR ของธนาคารฯ อยู่ในระดับที่สูงมากถึง 18.8% และเป็น T1 เท่ากับ 17.7% (ส่วนใหญ่เป็น CET1) ทำให้สามารถรองรับการขยายตัวของธุรกิจตามแผนได้อีกมาก แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามูลค่าการลงทุนที่อ้างถึงนั้นสูงหรือต่ำกว่ามูลค่ากิจการหรือ Fair value ของ Home Credit Vietnam (อ้างอิงจากข้อมูลการควบรวม M&A ในอดีต มูลค่าเสนอซื้อจะอยู่ที่เฉลี่ยราว 1.5-2.0 เท่า ของ BV) โดยจะต้องรอติดตามข้อมูลและนำเสนอต่อไป

ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ระบุว่า ธุรกิจสินเชื่อรายย่อยในเวียดนามเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรที่ดีมาก (ดีกว่าธุรกิจสินเชื่อรายย่อยในไทยในกลุ่ม Gen 2 ที่ปัจจุบันยังแทบไม่ได้สร้างกำไรให้กับกลุ่ม SCB เนื่องจากมีการตั้ง credit cost ที่สูงมาก แต่จะเริ่มเห็นกำไรที่สูงขึ้นตามแผนงานในปี 2567) โดยให้อัตราผลตอบแทน (yield) จากการปล่อยสินเชื่อที่สูงกว่าในไทยมาก อีกทั้งยังไม่มีการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรายย่อย แต่ก็ยังพบปัญหาจาก NPL ที่สูงมากเช่นกัน เป็นเพราะยังไม่มีตัวเลขสนับสนุนจากงบการเงินของ Home Credit Vietnam เนื่องจากไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Non-Listed Co.) โดยให้คำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น SCB ราคาเป้าหมายที่ 118 บาท

Back to top button