โบรกฯส่องกลุ่มธนาคารพาณิชย์คาดกำไรไตรมาส 4/58 ยังอ่อนแอ

โบรกฯส่องกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยในไตรมาส 4/58 ยังอ่อนแอ โดยฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดการณ์ไว้ที่ -21%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ -9% เทียบไตรมาสก่อนหน้า เพราะตั้งสำรองค่าเผื่อฯเพิ่ม เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน


บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (12 ม.ค.) ว่า กำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยในไตรมาส 4/58 ยังอ่อนแอ ฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดการณ์ไว้ที่ -21%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ -9%เทียบไตรมาสก่อนหน้า เพราะตั้งสำรองค่าเผื่อฯเพิ่ม เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง เทียบไตรมาสก่อนหน้า แต่ TCAP และ TISCO จะรายงานกำไรไตรมาส 4/58 เติบโตทั้ง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เทียบไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่คาดว่า BBL, KBANK และ TMB จะมีกำไรสุทธิไตรมาส 4/58 หดตัว เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เทียบไตรมาสก่อนหน้า สำหรับ KTB, SCB และ TISCO กำไรจะเติบโตสูงเมื่อเทียบ เทียบไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากฐานกำไรที่ต่ำของ 3Q15 ขณะที่กำไรก่อนสำรองค่าเผื่อฯ คาดว่าจะลดลงมาก เทียบไตรมาสก่อนหน้า เพราะรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยต่ำลง

กำไรสุทธิทั้งปี 58 ของกลุ่มธนาคารที่ DBSV ทำการวิเคราะห์คาดว่าจะหดตัว 12% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 1.66 แสนล้านบาท  โดย TCAP มีผลประกอบการโดดเด่นที่สุด โดยคาดว่าจะเติบโต 6%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะมีสิทธิประโยชน์ด้านภาษี แต่กำไรก่อนสำรองค่าเผื่อฯ หดตัว5%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการหดตัวของสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการกู้ยืมลดลง ส่วนธนาคารที่มีการขยายตัวของกำไรก่อนสำรองค่าเผื่อฯมากที่สุด คือ TMB ที่ 19%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะการเติบโตของสินเชื่อ, NIM เพิ่มขึ้น, รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยขยายตัวสูง และ Cost-to-income ratio ลดลง

ผลประกอบการปี 59 ยังมีความท้าทายจากการด้อยค่าของสินทรัพย์และการตั้งสำรองค่าเผื่อฯที่สูง ธนาคารส่วนใหญ่ยังเน้นดูแลเรื่องคุณภาพเป็นหลัก รวมทั้งจะขยาย Coverage ratio เพิ่มขึ้นด้วย เราใช้สมมติฐานที่อนุรักษ์นิยมกับ BBL เพราะมีความกังวลกับสินเชื่อธนาคารซึ่งมีสัดส่วนของสินเชื่อในกลุ่มสื่อสารและโทรคมนาคมสูงกว่าธนาคารอื่นๆ และอุตสาหกรรมนี้มีความเสี่ยงจากการแข่งขันตัดราคาที่รุนแรง นอกจากนั้นยังให้ KTB กันสำรองค่าเผื่อฯในระดับสูงเพราะธนาคารมี Coverage ratio ต่ำ

ยังไม่มีปัจจัยบวกกระตุ้นในระยะสั้น ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกเพิ่มขึ้น และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยก็ล่าช้า โดยเฉพาะการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ให้ KBANK เป็น Top Pick เนื่องจากมีการกระจายความเสี่ยงที่ดี มีดุลยภาพในด้านการเติบโตและคุณภาพสินทรัพย์ รองลงมาเป็น TCAP ซึ่งมี Upside Risk จากการฟื้นตัวของยอดขายรถยนต์ครึ่งหลังปี 59 และการกลับมาของการลงทุน นอกจากนั้นหุ้นยังมี Valuation ที่ถูกที่สุดในกลุ่ม 

Back to top button