SCC โบรกแนะ “ถือ” รอรับปันผล 2.50 บ. ขึ้น XD 2 เม.ย.นี้-หั่นกำไรปี 68 เหลือ 8 พันล้าน
SCC โบรกแนะ “ถือ” รอรับปันผล 2.50 บาท ขึ้น XD 2 เม.ย.นี้ ขณะที่คาดการณ์กำไรปี 2568 ลดลง 40% เป็น 8 พันล้านบาท จากผลกระทบธุรกิจปิโตรเคมี พร้อมคาดการณ์กำไรเติบโต 23% ในปี 2568 หากปริมาณขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและส่วนต่างโอเลฟินส์ฟื้นตัว
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (30 ม.ค. 68) ว่า บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC ยังคงคำแนะนำ “ถือ” ให้ราคาเป้าหมายใหม่ปี 2568 ที่ 175.00 บาท (เดิม 230.00 บาท) หลังจาก SCC ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2567 ขาดทุนสุทธิ 512 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2566 ขาดทุน 1.1 พันล้านบาท และในไตรมาส 3/2567 มีกำไร 721 ล้านบาท เมื่อเทียบกับฝ่ายวิเคราะห์ คาดว่าจะขาดทุน 194 ล้านบาท และทาง consensus ประมินว่าจะขาดทุน 710 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2567 ที่ขาดทุนสุทธิ สาเหตุจากธุรกิจปิโตรเคมีได้รับผลกระทบจากแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ (olefins spread) ที่อ่อนแอต่ำกว่าระดับคุ้มทุนและการรับรู้ค่าเสื่อมราคาของโครงการ LSP Petrochemical Complex (LSP) ในไตรมาสนี้ ในขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (CBM) มีรายได้ลดลงซึ่งน่าจะสะท้อนผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยในภาคใต้บางส่วน
ขณะที่ธุรกิจแพ็คเกจจิ้ง (SCGP) รายงานขาดทุนเนื่องจากความสามารถในการทำกำไรที่ลดลง อย่างไรก็ดี SCC จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไป แล้วในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท เป็นเงิน 3,000 ล้านบาท เมื่อวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2567 และจะจ่ายเงินปันผลงวด สุดท้ายในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท เป็นเงิน 3,000 ล้านบาท โดยจ่ายจากกำไรที่เสียภาษีในอัตราร้อยละ 20 ซึ่งผู้ถือหุ้น ประเภทบุคคลธรรมดาสามารถขอเครดิตภาษีคืนได้ โดยจะขึ้น XD ในวันที่ 2 เม.ย. 2568
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/2568 ฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่าภาพรวมธุรกิจของ SCC จะยังคงมีความท้าทาย จาก 1) Olefins spread ที่ยังทรงตัวตัวต่ำจากอุปสงค์อ่อนแอ 2) การปิดช่อมบำรุงโรงโรงงาน LSP แต่ยังต้องรับรู้ค่าเสื่อมราคาอยู่ โดยฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าบริษัทจะเห็นค่าเสื่อมราคาส่วนเพิ่มประมาณ 1.0 พันล้านบาทต่อไตรมาสหลังจากโครงการ LSP COD แล้ว และ 3) การรับรู้ผลขาดทุนจาก Fajar ที่ยังดำเนินอยู่ โดย SCGP คาดจะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 2568
นอกจากนี้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ลดลง 40% เป็น 8.0 พันล้านบาท เพื่อสะท้อนสนสมมติฐาน 1) ปริมาณขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน LSP เป็นระยะเวลา 6 เดือน 2) Olefins spread ที่อ่อนตัว 3) รายได้ของธุรกิจ CBM ที่ลดลง และ 4) กำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนตัว อย่างไรก็ดี บริษัทจะเห็นกำไรเติบโต 23% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในปี 2568 ตามปริมาณขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ดีขึ้นและ olefins spread ที่สูงขึ้น