
MAJOR โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 15.60 บาท ลุ้นปี 68 สดใส รับหนังใหญ่เข้าฉาย-ปันผลเด่น
MAJOR มองปี 68 สดใสจากหนังฟอร์มยักษ์-ไทยภาคต่อหนุนกำไรโต พร้อมคงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้เป้าหมาย 15.60 บาท ชูปันผลเด่น 4.4%
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 15.60 บาท โดยยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มธุรกิจโรงภาพยนตร์ในปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะเป็นปีที่ดีจากการมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูดเข้าฉายเพิ่มขึ้น รวมถึงการกลับมาของภาพยนตร์ไทยภาคต่อหลายเรื่องที่เคยสร้างรายได้สูงในอดีต ประกอบกับแนวโน้มพฤติกรรมผู้ชมที่เลือกชมเฉพาะภาพยนตร์ที่น่าสนใจมากขึ้น
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินผลประกอบการของ MAJOR ในปี 2568 ภายใต้สมมติฐานเชิงอนุรักษ์นิยม (Conservative) โดยคาดว่าราคาบัตรเฉลี่ยจะทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และจำนวนผู้ชมจะเพิ่มขึ้น 9% ส่งผลให้กำไรปกติคาดอยู่ที่ 602 ล้านบาท เติบโต 15% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลที่ 0.44 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ 4.40%
สำหรับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูดที่มีกำหนดเข้าฉายในไตรมาส 2/2568 ประกอบด้วย Thunderbolts (จากค่าย Marvel), Mission Impossible, Ballerina (Spin-off จากจักรวาล John Wick) และ F1 (จากผู้สร้าง Top Gun) ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 มีเพียง Captain America และ Snow White เข้าฉาย
นอกจากนี้ ยังมีภาพยนตร์ไทยที่น่าสนใจเข้าฉายในปีนี้ ได้แก่ The Stone พระแท้คนเก๊, HALABALA, สุสานคนเป็น (จากทีมผู้สร้าง “สืบสันดาน”) และ หลวงพี่แจ๊สโคตรซิ่ง เป็นต้น
อีกทั้งยังมีภาพยนตร์ไทยภาคต่อที่คาดว่าจะเข้าฉายในไตรมาส 4/2568 ได้แก่ ธี่หยด 3 (ภาคก่อนทำรายได้ Box Office 286 ล้านบาท), เสือ (จากทีมผู้สร้าง ขุนพันธ์), อนงค์ 2 (ภาคก่อนทำรายได้ 64 ล้านบาท), มือปืน (จากทีมผู้สร้าง 4Kings ภาคก่อนทำรายได้ 89 ล้านบาท), อีเรียมซิ่ง 2 (ภาคก่อนทำรายได้ 75 ล้านบาท) และ สัปเหร่อ 2 (ภาคก่อนทำรายได้ 243 ล้านบาท)