TU:กำไรไตรมาส 1/59 แข็งแกร่งแนะนำซื้อราคาพื้นฐาน 22.3 บาท
TU คาดการณ์กำไรหลักไตรมาส 1/59 เป็นเท่าตัวคือ 1.1 พันล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน สืบเนื่องจากการเติบโตจากภายในองค์กร (organic growth) ที่แข็งแกร่ง รายได้มีการเติบโต 8.4% เป็น 31 พันล้านบาท ซึ่งมีแรงผลักดันมาจาก MW Brands ที่ยุโรปเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากตลาดเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับ Chicken of the Sea ก็มีความสำเร็จในการทำตลาดทูน่ากระป๋องที่เน้นกำไร การฟื้นตัวของธุรกิจกุ้ง และเงินบาทที่อ่อนค่าเทียบกับเหรียญสหรัฐ และยูโร ช่วยเพิ่มรายได้
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (18 เม.ย.) ว่า บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ TU คาดการณ์กำไรหลักไตรมาส 1/59 เป็นเท่าตัวคือ 1.1 พันล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน สืบเนื่องจากการเติบโตจากภายในองค์กร (organic growth) ที่แข็งแกร่ง รายได้มีการเติบโต 8.4% เป็น 31 พันล้านบาท ซึ่งมีแรงผลักดันมาจาก MW Brands ที่ยุโรปเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากตลาดเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับ Chicken of the Sea ก็มีความสำเร็จในการทำตลาดทูน่ากระป๋องที่เน้นกำไร การฟื้นตัวของธุรกิจกุ้ง และเงินบาทที่อ่อนค่าเทียบกับเหรียญสหรัฐ และยูโร ช่วยเพิ่มรายได้
อีกทั้งยังมีการควบรวมกับ Rugen Fisch ซึ่งในไตรมาส 1 นี้เป็นระยะเวลา 2 เดือน โดยเราคาดว่ารายได้ต่อปีในปี 59 ของ Rugen Fisch เป็น 5.6 พันล้านบาท ด้านอัตรากำไรขั้นต้น ไตรมาส 1/59 เพิ่มขึ้น 1.7%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 15.5% เพราะธุรกิจทูน่าและกุ้งออกมาดี อย่างไรก็ตามคาดว่ากำไรหลัก ไตรมาส 1/59 ลดลง 17.6%เทียบไตรมาสก่อนหน้า อันมีผลจากปัจจัยฤดูกาล
ไตรมาส 1/59 ที่ผ่านมาทุกธุรกิจของ TUF มีผลการดำเนินงานที่ดี โดยเฉพาะในสายธุรกิจทูน่า และสายธุรกิจกุ้ง ที่สำคัญคือ ราคาทูน่ากลับมาปรับตัวขึ้นดี หลังจากปี 58 ได้ลงไปต่ำสุดที่ 1,170 เหรียญสหรัฐต่อตัน แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีตั้งแต่ ก.พ.59 และในเดือน มี.ค.59 ก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งเป็น 1,600 เหรียญสหรัฐต่อตัน สืบเนื่องจากความกังวลในเรื่องอุปทานที่น้อยลง หลังจากมีการออกใบอนุญาตกองเรือจับปลาที่ล่าช้า แม้ปัญหานี้ได้แก้ไขไปแล้ว แต่คาดว่าราคาจะยังทรงตัวในระดับสูงได้ จากการจะมีเรื่อง FAD (Fish Aggregating Device) เกี่ยวกับห้ามจับปลาโดยใช้อุปกรณ์บางประเภท ซึ่งเกิดขึ้นประมาณ ก.ค.-ต.ค.ก็จะช่วยเพิ่มราคาได้ต่อไป เป็นการดีต่อสินค้าประเภททูน่าที่เป็น OEM ซึ่งมีการปรับราคาได้อย่างต่อเนื่อง แต่ทูน่าที่มีแบรนด์จะได้รับผลกระทบทางลบบ้างจากการที่ปรับราคาได้เพียงปีละ 1-2 ครั้ง ขณะที่ราคาวัตถุดิบได้ปรับขึ้น
แนวโน้มการเติบโตไปในทิศทางที่ดีในระยะยาว มีการตั้งหน่วยธุรกิจบริการอาหารประเภทใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนภัตาคารระดับโลก รวมทั้งการขยายไปยังตลาด emerging ใหม่ๆที่ยังไม่เคยไป เช่น ตะวันออกกลาง และประเทศในเอเซีย รวมทั้งการเน้นผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม ส่วนการทำดีลการซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A) ก็จะเป็นส่วนเพิ่ม (upside) การเติบโตได้เป็นอย่างดี เพื่อทำให้เป้าหมายรายได้ไปถึง 8 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563 ได้สำเร็จ
คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาพื้นฐาน 22.30 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 59 ที่ 17 เท่า แม้ราคาพื้นฐานจะมีส่วนเพิ่มไม่มากเทียบกับราคาปิดปัจจุบัน หลังราคาหุ้นปรับขึ้นสอดคล้องกับคำแนะนำ แต่มีโอกาสที่จะใช้ P/E ที่สูงขึ้นในอนาคต (re-rating) จากปัจจัยพื้นฐานบริษัทที่แข็งแกร่งมากขึ้น