BJC ก้าวสู่ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคแนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 45.00 บาท
BJC มองเชิงบวกต่อการเข้าซื้อ BIGC และการเพิ่มทุนของ BJC โดยเรามองว่าการเข้าซื้อกิจการนี้เป็นการปูทางให้กับ BJC ที่จะเป็นหนึ่งผู้ค้าปลีกหลายรูปแบบที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแต่ราคาซื้อขายหุ้นในปัจจุบันของ BJC ที่ PER ของปี 2560 ที่ 19 เท่า และต่ำกว่ามูลค่า ณ สิ้นปี 2559 ตามวิธี DCF อยู่ 28% ถือว่าน่าสนใจมาก เรามองข้าม PER ปี 59 ไปเนื่องจากกำไรสุทธิต่อหุ้นในปีนี้ไม่สามารถแสดงถึงศักยภาพที่แท้จริงของ BJC หลังปรับโครงสร้างในกลางปีนี้ เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ"
บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (30 พ.ค.) ว่า บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BJC วางแผนที่จะออกหุ้นใหม่ 2,400 ล้านหุ้น โดยจัดสรร 800 ล้าน ผ่าน PP ที่ราคาไม่ต่ำว่า 35บาท/หุ้น และเสนอขาย 1,600 ล้านหุ้น รวมทั้งหุ้นเหลือหลังจาก PP (ถ้ามี) ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ที่ราคา 35บาท/หุ้น ถ้าแผนดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 29 มิ.ย. 2559 การขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมจะเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 13 -21 ก.ค. 2559
หลังจากการเพิ่มทุน 8.4 หมื่นล้านบาทแล้ว บริษัทจะรีไฟแนนซ์เงินกู้ระยะสั้นที่เหลืออยู่ 1.2-1.3 แสนล้านบาท ด้วยเงินกู้จากธนาคารและการออกหุ้นกู้ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2559 แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างน่าจะจบได้ภายในไตรมาส 3/59 โดยเงินกู้จากธนาคารจะมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 3.5% ในขณะที่หุ้นกู้น่าจะมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ 3.0% อ้างอิงจากสมมุติฐานว่าหุ้นกู้ระยะ 3, 5, 7 และ 10ปี มีสัดส่วนเท่าๆกัน ทั้งนี้สัดส่วนระหว่างเงินกู้ยืมจากธนาคารและหุ้นกู้ยังไม่ได้กำหนด ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและธนาคารผู้ให้กู้ เราจึงให้สมมุติฐานว่า BJC จะออกหุ้นกู้ราวครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาท หลังจากนั้นจึงจะทยอยรีไฟแนนซ์เงินกู้ธนาคารเป็นหุ้นกู้เพิ่มเติมภายหลัง
หลังจากการเพิ่มทุน หนี้สินสุทธิต่อทุนของ BJC น่าจะลงมาที่ 1.3 เท่า จาก 3.9 เท่า ณ ปลาย มี.ค. ซึ่งงบดุลที่แข็งแกร่งนี้จะช่วยให้บริษัทขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในตลาด CLMV โดยการซื้อกิจการขนาดใหญ่อันต่อไปมีแนวโน้มที่จะเป็น MM Mega Market (Metro Vietnam เดิม) โดย BJC วางแผนที่จะซื้อหลังจากที่ MM มีกำไรเพียงพอที่จะประเมินมูลค่ายุติธรรมให้ผู้ถือหุ้นอนุมัติได้ เราคาดว่าหลังการเข้าซื้อ MM หนี้สินสุทธิต่อทุนจะขยับขึ้นมาที่ 1.5 เท่า
BJC ตั้งเป้าผลประโยชน์ร่วมจากการควบรวมกิจการทั้งหมดที่ 1.7 พันล้านบาทต่อปี โดยในส่วนนี้จะเพิ่มเข้ามาที่ EBITDA ภายใน 3 ปี ซึ่งผลประโยชน์ร่วมนี้จะเกิดจากความร่วมมือทั้งหมด 8 ด้าน (ดูตารางที่ 1) โดยด้านที่จะเห็นผลกระทบเร็วที่สุดและมีสัดส่วนมากที่สุดคือโลจิสติกส์และอสังหาริมทรัพย์ โดยอัตรากำไรน่าจะเพิ่มขึ้นด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพคลังสินค้าที่มีอยู่และเพิ่มการใช้ประโยชน์ของสินทรัพย์ เช่น รถบรรทุกเที่ยวขากลับ ในขณะที่ BIGC น่าจะขยายตัวได้เร็วขึ้นและง่ายขึ้น เนื่องจาก TCC มีที่ดินหลายแปลงทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
ราคาซื้อขายหุ้นในปัจจุบันของ BJC ที่ PER ของปี 2560 ที่ 19 เท่า และต่ำกว่ามูลค่า ณ สิ้นปี 2559 ตามวิธี DCF อยู่ 28% ถือว่าน่าสนใจมาก เรามองข้าม PER ปี 59 ไปเนื่องจากกำไรสุทธิต่อหุ้นในปีนี้ไม่สามารถแสดงถึงศักยภาพที่แท้จริงของ BJC หลังปรับโครงสร้างในกลางปีนี้ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 45.00 บาท