TMT:แนวโน้มกำไร 2Q59 ดีเกินคาดแนะซื้อรับปันผลสูงเป้า 13.80 บาท

TMT ราคาเหล็กในประเทศอ่อนลงน้อยกว่าคาด เพราะอุปทานยังตึงตัว กำไรไตรมาส2/59มีแนวโน้มเพิ่มกระโดด 188%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 8%เทียบไตรมาสก่อนหน้าดีกว่าที่เคยประเมินไว้ ปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ขึ้น 43% เป็น 807 ล้านบาทแนะนำซื้อรับปันผลสูง ให้ราคาพื้นฐานใหม่ 13.80 บาท คาด Dividend Yield ปีนี้ 10.2%


บล.ดีบีเอสฯ  ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (20 มิ.ย.) ว่า บริษัท ค้าเหล็กไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMT คาดการณ์ในเบื้องต้นว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/59 จะเติบโตก้าวกระโดด 188%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 8%เทียบไตรมาสก่อนหน้าเป็น 301 ล้านบาท ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าว่ากำไรไตรมาส 2/59 จะอ่อนลง เทียบไตรมาสก่อนหน้าซึ่งหากเป็นเช่นนี้ กำไรสุทธิครึ่งแรกของปี 2559 จะเท่ากับ 580 ล้านบาท ทะลุกำไรสุทธิทั้งปี 2558 ที่ 321 ล้านบาทไปอย่างมีนัยสำคัญแล้ว  

สะท้อน 1) แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/59 ที่ดีกว่าคาด, 2) อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/59 มีโอกาสที่จะอยู่ในระดับเลขหลักเดียวปลายหรือสองหลักต้นได้เพราะสถานการณ์อุปทานเหล็กยังตึงตัว เนื่องจากผู้นำเข้ากังวลเรื่องอัตราค่าธรรมเนียมตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) เหล็กแผ่นรีดร้อนที่นำเข้าจากตุรกี บราซิล อิหร่าน ว่าจะเป็นเท่าใด ซึ่ง ณ ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป จึงไม่ค่อยกล้านำเข้าจากประเทศดังกล่าวมากนัก นอกจากนั้นผู้ประกอบการใหญ่ 2 รายในประเทศ คือ GSTEL และ SSI ก็ผลิตเหล็กได้น้อยลง เพราะมีข้อจำกัดเรื่องเงินทุน ปริมาณและคุณภาพของวัถุดิบ Slab ส่วน GJS ยังผลิตปกติโดยเลื่อนการปิดซ่อมบำรุงโรงงานออกไปก่อน และ 3) ปรับลดประมาณการปริมาณขายปีนี้ลง 5% เป็น 6.2 แสนตันเนื่องจากเห็นว่าอุปทานวัตถุดิบค่อนข้างตึงตัว

ชอบ TMT ที่สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและ Outperform ตลาด เนื่องจากมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รูปแบบการให้บริการ และบริหารจัดการด้านสินค้าคงคลังมาโดยตลอด ทำให้บริษัทมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดในประเทศประมาณ 18-20% เพิ่มจากระดับ 15% ในปี 2557 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการให้บริการแบบ Solution ครบวงจร โดยจัดทำผลิตภัณฑ์พร้อมใช้ให้กับลูกค้า พร้อมทั้งมีการบริหารจัดการด้านสินค้าคงคลังและโลจิสติกส์ให้ลูกค้าด้วย ซึ่งบริการแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำง่าย ดังนั้นจึงคาดว่าจะยังไม่มีคู่แข่งขันที่เทียบเคียงเข้ามาในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านี้ สำหรับความเสี่ยงหลัก คือ ความผันผวนของราคาเหล็ก และอุปทานวัตถุดิบเหล็กแผ่นรีดร้อนตึงตัว ซึ่งอาจทำให้ปริมาณขายบริษัทต่ำกว่าคาด

โดยปรับเพิ่มราคาตามพื้นฐานเป็น 13.80 บาท อิง P/E 10 เท่าบน EPS เฉลี่ยปี 2559-2560 ที่ 1.375 บาท/หุ้น สำหรับเงินปันผลปี 2559 คาดการณ์ไว้ที่ 1.1 บาท/หุ้น (ให้สมมติฐานอัตราการจ่ายปันผล 60%) คิดเป็น Dividend Yield 10% (จ่ายปีละ 1 ครั้ง)

Back to top button