กลุ่มสุขภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้าวันนี้ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการซื้อขายอยู่ในแดนลบ หรือปรับตัวลง แต่ไม่รุนแรงเท่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เมื่อคืนนี้ติดลบไปถึง 3-5% โดยบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่า ปัจจัยเสี่ยงเฉพาะตัวก็คือภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดเกินไป นอกจากนั้นยังเริ่มเห็นสัญญาณการประกาศผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐฯที่ออกมาต่ำคาด โดยเฉพาะบริษัทที่อิงกับการบริโภคภายใน ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่นักวิเคราะห์จะต้องปรับลดประมาณการกําไรลงในช่วงถัดไป จากความกังวลทั้งเรื่อง Recession และ Earnings growth นี้ จึงเริ่มเห็นเม็ดเงินโยกเข้าสู่พันธบัตรระยะยาวมากขึ้นจนทำให้ Yield curve ของสหรัฐฯ กลับมาปรับตัว Flattening มากขึ้นอีกครั้ง ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์หาก SET Index วันนี้ยังทรงตัวเหนือระดับ 1,600 จุดได้ มองว่าสามารถ Wait & See และรอดูสถานการณ์ไปก่อนได้ โดยแนะถือครองหุ้นในส่วนเดิมต่อไปแต่หากเกิด Panic sell จนทำให้ SET หลุดลงไปบริเวณ 1,580-1,600 จุด มองเป็นโซนที่น่าสนใจสำหรับการ Trading buy ในระยะสั้นอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไม่ได้มีการสะสมหุ้นในกรอบดังกล่าวชวงที่ผ่านมา สำหรับในสภาวะที่ตลาดเริ่มมองไปยังปรากฏการณ์ภาวะเศรษฐกิจถดถอยซ้ำซ้อน (Double dip) หรือ ภาวะถดถอย (Recession) มากขึ้นนี้ประเมินว่านักลงทุนยังคงสามารถเน้น Core portfolio ไปยังกลุ่ม Defensive ได้ต่อไป คือ 1.กลุ่มสุขภาพ ได้แก่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS, บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH, บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG และ บริษัท โรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ จำกัด (มหาชน) หรือ IMH 2.กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO และ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC 3.กลุ่มสาธารณูปโภค ได้แก่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC และ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF