กลุ่ม Domestic

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(20ส.ค.67) ดัชนีตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ณ เวลา 10:21 น. อยู่ที่ 1,335.28 จุด เพิ่มขึ้น 11.90 จุด หรือ 0.90% สูงสุดที่ 1,335.28 จุด ต่ำสุดที่ 1,326.38 จุด มูลค่าการซื้อขาย 10,190.26 ล้านบาท โดยตลาดหุ้นไทยเช้านี้พุ่งต่ออย่างสดใสกว่า 10 จุดทะลุผ่าน 1,330 จุด เป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ตอบรับเงินทุนไหลเข้าโดยต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่อง และเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาเร็วเข้าใกล้ 34.00 บาท โดยนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นไปกว่า 10 จุด โดยยังได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นการเมืองในประเทศได้รับการปลดล็อก และเศรษฐกิจของไทย (GDP) ขยายตัวดีกว่าคาด รวมถึง Valuation หุ้นไทยถือว่าอยู่ในโซนที่ไม่แพง โดยวานนี้หากไม่รวมรายการ Big Log ในหุ้นของบมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) จำนวน 76,107,368 หุ้น มูลค่ารวม 12,177.18 ล้านบาท จะเห็นว่าผู้ลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ 1,690.63 ล้านบาท ประกอบกับเงินบาทแข็งค่าขึ้นมามาก หนุนนักลงทุนต่างชาติซื้อกลับ ทั้งนี้ มองโมเมนตัมตลาดหุ้นไทยดีขึ้นต่อเนื่องน่าจะยังเป็นเทรนของการปรับตัวขึ้นได้ต่อ ให้แนวรับ 1,310 จุด และแนวต้าน 1,335 จุด แนะติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันพุธนี้, การฟอร์มทีมคณะรัฐมนตรี "อุ๊งอิ๊ง 1" คาดเห็นภาพชัดเจนภายในเดือนนี้ และน่าจะมีการแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเดือน ก.ย. ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ตลาดปรับตัวขึ้นล่วงหน้า ส่วนในต่างประเทศ ติดตามการส่งสัญญาณการลดดอกเบี้ยจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการประชุมที่แจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ปลายสัปดาห์นี้ ด้านบล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(20ส.ค.67) คาด SET วันนี้ “ไปต่อ” ให้แนวต้าน 1,332-1,340 จุด และแนวรับ 1,305-1,315 จุด โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 ดัชนี S&P500 บวกได้ 0.97% หุ้นเทคโนโลยีกลับมานำตลาด รับข่าว AMD ประกาศแผนการเข้าซื้อกิจการบริษัท ZT Systems ซึ่งเป็นผู้ผลิต Server บ่งชี้มุมมองบวกต่ออุตสาหกรรม Data Center ระหว่างรอการแถลงประธาน Fed ในงาน Jackson Hole ปลายสัปดาห์ ส่วนภาพรวมตลาดยังเชื่อเฟดคุมเงินเฟ้อได้+เศรษฐกิจสหรัฐเป็น Soft Landing ส่วนปัจจัยภายในเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวสวนทางสหรัฐโดย GDP ไตรมาส 2/67 เร่งขึ้นสู่ 2.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เทียบprev. 1.5% ขณะที่ความเชื่อมั่นระยะถัดไปที่เร่งต่อจากความชัดเจนการเมือง มองหุ้นนำกลุ่มได้ประโยชน์เงินบาทแข็ง+น้ำมันลดลง อาทิ สายการบิน, โรงไฟฟ้า ,กลุ่ม Domestic (ค้าปลีก ธนาคาร เช่าซื้อ สื่อสาร)