กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เอเชีย อัลฟ่า

นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยถึงมุมมองด้านอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคและการมองหาโอกาสในตลาดหุ้นเอเชีย ผ่านงานสัมมนา Exclusive Seminar: The Promising Era of Asia ในหัวข้อ “โอกาสลงทุนในเอเชียและกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เอเชีย อัลฟ่า (M-ASIA)” ระบุว่า บริษัทฯมองการเติบโตและรายได้เศรษฐกิจของประเทศในแถบเอเชีย อาทิ ประเทศสิงคโปร์, ฮ่องกง, และเกาหลีใต้ ยังคงอยู่ในอัตราที่สูงและจะก้าวกระโดดขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากปัจจัยด้านโอกาสการเติบโตจากการบริโภคของชนชั้นกลาง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซมากขึ้น รวมไปถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยว, กิจกรรมในประเทศ และแนวโน้มตลาดหุ้นเอเชียที่ยังคงอยู่ในจังหวะขาขึ้นช่วงระยะยาว (Long-Term Trend) จากหุ้นเติบโตอีกด้วย ปัจจัยดังกล่าวทำให้บริษัทฯ มองว่าหุ้นเอเชีย เป็นหนึ่งในหุ้นที่น่าจับตามองในแง่การลงทุนที่เน้นสร้างผลตอบแทนในระยะยาว พร้อมกันนี้ MFC ยังออกกองทุนตัวใหม่อย่าง “กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เอเชีย อัลฟ่า” หรือ M-ASIA ที่ลงทุนใน Fullerton Lux Fund - Asia Absolute Alpha เน้นลงทุนในหลักทรัพย์คุณภาพหรือหุ้นจดทะเบียนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค อาทิ Singapore Telecommunications ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย, Taiwan Semiconductor Manufacturing (TSMC) บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ระดับโลก เป็นต้น โดยกองทุนดังกล่าว บริหารจัดการโดยทีมบริหารกองทุนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนมามากกว่า 25 ปี นอกจากนี้ “กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เอเชีย อัลฟ่า จะเป็นอีกหนึ่งมุมมองการลงทุนในภูมิภาคเอเชียที่สร้างประโยชน์และความคุ้มค่าให้กับทุกท่านได้อย่างยั่งยืน” นายธนโชติ กล่าว ทั้งนี้ กองทุนกำลังอยู่ระหว่างอนุมัติจัดตั้งจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. และจะเสนอขายต่อไปภายหลังการอนุมัติดังกล่าวเสร็จสิ้น นายธนโชติ กล่าวเพิ่มอีกว่า คาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ที่ระดับ 1,700 จุด เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และมีการเปิดประเทศเข้ามาสนับสนุนเม็ดเงินต่างชาติ รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ขณะที่หุ้นไทยเองยังมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้นที่ได้รับอานิสงค์จากการเปิดเมือง เนื่องจากเป็นหุ้นที่ได้รายได้จากต่างชาติเข้ามา ส่วนปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง เป็นเรื่องของสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ และจีน รวมถึงเรื่องค่าเงิน และเงินเฟ้อ ที่อาจจะเข้ามาเป็นแรงกดดัน