ควอตซ์ คอมพิวติ้ง

บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ CHN-1A และ CHN-2A ซึ่งเป็นของ บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด รวมมูลค่าโครงการกว่า 15,951 ล้านบาท สำหรับโครงการ CHN-1A มีมูลค่าก่อสร้าง 7,575.11 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดย STEC จะดำเนินงานก่อสร้างโครงสร้าง สถาปัตยกรรม และระบบต่าง ๆ ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 ถึง 8 เมษายน 2570 ขณะที่โครงการ CHN-2A มีมูลค่าก่อสร้าง 8,376.16 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) มีลักษณะงานก่อสร้างเช่นเดียวกัน โดยมีกำหนดระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 ถึง 11 กรกฎาคม 2570 ทั้งนี้ การลงนามสัญญาดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพของ STEC ในฐานะผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานและระบบดิจิทัลที่สำคัญ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโครงการของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ โดยก่อนหน้านี้ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) มีมติอนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center 2 โครงการใหญ่ มูลค่ารวม 60,000 ล้านบาท ประกอบด้วย บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด ในเครือ Google มูลค่าลงทุน 32,760 ล้านบาท และบริษัท ดิจิทัลแลนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด ในเครือ GDS มูลค่าลงทุน 28,000 ล้านบาท สำหรับโครงการ Data Center ของบริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง ในเครือ Alphabet Inc. (สหรัฐฯ) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google เป็นการลงทุนตามแผนธุรกิจที่ Google ได้ประกาศระหว่างการพบนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 ก.ย.67 ว่าจะสร้าง Data Center และ Cloud Region แห่งใหม่ในประเทศไทย ด้วยมูลค่าเงินลงทุนเฟสแรก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยจะเป็นศูนย์ Data Center แห่งที่ 5 ในเอเชียของ Google ตั้งอยู่จังหวัดชลบุรี มีแผนเปิดให้บริการปี 2570 ขณะที่โครงการ Data Center ของบริษัท ดิจิทัลแลนด์ เซอร์วิสเซส ในเครือ GDS ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ Data Center ชั้นนำระดับโลกที่ให้บริการทั้งในจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโครงการใหม่ในประเทศไทยตั้งอยู่ชลบุรีมีแผนเปิดให้บริการปี 2569 ดังนั้น ทั้ง 2 โครงการจะเป็น Data Center ขนาดใหญ่ระดับ Hyperscale ที่มีขีดความสามารถในการประมวลผลสูง และสามารถรองรับการขยายตัวของการใช้บริการ Cloud Services ทั้งจากผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีอัตราการใช้บริการออนไลน์และการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลในสัดส่วนที่สูง