ความเชื่อมั่นในภาคที่มิใช่การผลิต

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนม.ค.68 อยู่ที่ระดับ 48.5 ทรงตัวจาก 48.4 ในเดือนธ.ค.67 ตามองค์ประกอบด้านคำสั่งซื้อที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนปรับลดลง สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นในภาคการผลิตปรับเพิ่มขึ้น แต่มาจากกลุ่มผลิตเหล็กเป็นหลัก ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยเฉพาะ จากการต่ออายุมาตรการป้องกันอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ด้วยการห้ามตั้งโรงงานเหล็กเส้น 5 ปี ประกอบกับปัจจัยสนับสนุน จากการเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐที่ทำได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความเชื่อมั่นโดยรวม และเกือบทุกหมวดธุรกิจในภาคการผลิตอื่น ยังแย่ลงจากเดือนก่อน สะท้อนจากดัชนีฯ ที่เคลื่อนไหวในระดับต่ำกว่า 50 ส่วนความเชื่อมั่นในภาคที่มิใช่การผลิต ปรับลดลงเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ นำโดยกลุ่มการค้า คาดว่าเป็นผลมาจากการชะลอการใช้จ่ายของผู้บริโภคบางส่วน เพื่อไปใช้จ่ายในช่วงที่มีมาตรการลดหย่อนภาษี Easy E-receipt 2.0 และส่วนหนึ่งจากปัจจัยฤดูกาลที่ผู้บริโภคเร่งใช้จ่ายไปมากแล้วในช่วงเทศกาลสิ้นปี ทำให้ความเชื่อมั่นด้านปริมาณการค้า และคำสั่งซื้อปรับลดลงมาก โดยเฉพาะการค้ากลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และเครื่องประดับ โดยในอีก 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีความเชื่อมั่นทรงตัวอยู่ที่ 51.3 ตามการปรับเพิ่มขึ้นในด้านต้นทุน และการลงทุน ขณะที่การจ้างงานปรับลดลง โดยความเชื่อมั่นภาคการผลิตปรับเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มผลิตอาหารที่ความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อและการผลิตปรับเพิ่มขึ้น ตามการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลผลผลิตปาล์ม และทูน่ากระป๋อง จากการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวตามอุปสงค์คู่ค้า รวมทั้งกลุ่มผลิตพลาสติก เช่น บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องสำอาง ตามอุปสงค์ที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ส่วนความเชื่อมั่นในภาคที่มิใช่การผลิตปรับลดลง นำโดยกลุ่มการค้าปลีก ที่ดัชนีฯ ปรับลดลง โดยเฉพาะในด้านผลประกอบการและปริมาณการค้า จากแรงกดดันของกำลังซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนฐานรากที่ฟื้นตัวช้า และจากการขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่สำหรับการบริโภค เช่นเดียวกับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ดัชนีฯ ปรับลดลง นำโดยด้านผลประกอบการ เนื่องจากการยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนของยอดขายที่อยู่อาศัย รวมทั้งเริ่มเห็นลูกค้ารายได้สูงชะลอการซื้อ เพราะกังวลเรื่องความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ