ดร.จุฬา สุขมานพ

ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ระบุว่า การขับเคลื่อนแผนงานโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) มีแผนปฏิบัติการพัฒนา 6 แนวทาง พร้อมทั้งขับเคลื่อน 5 Cluster อุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ ประกอบด้วย 1) อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ 2) อุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ 3) อุตสาหกรรมยานยนต์ 4) อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG และ 5) อุตสาหกรรมบริการ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงเทรนด์การลงทุนโลก สำหรับมูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในอีอีซี ปี 61 ไปจนถึงไตรมาส 3/67 มีมูลค่า 1,731,625 ล้านบาท โดย 5 ประเทศที่ได้รับการออกบัตรสูงสุดได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และสหรัฐฯ ตามลำดับ ซึ่งมีการดำเนินการชักชวนนักลงทุนของ สกพอ. ซึ่งมีนักลงทุนทั้งหมด 139 ราย (ตั้งแต่ 1 ม.ค.66-20 ก.ย.67) สร้างมูลค่าลงทุนรวมกว่า 2.4 แสนล้านบาท เป็นต้น นายจุฬา ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม ถึงหนึ่งในแนวทางที่เอกชนเสนอ คือการเพิ่มจังหวัดปราจีนบุรี เป็นพื้นที่ EEC ซึ่งการศึกษาที่ผ่านมา พบว่าปราจีนบุรี มีความเหมาะสมเป็นพื้นที่เหมาะสมในการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมด้านบริการอื่นๆ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะดำเนินการต่อ เพราะสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมและการพัฒนาเมืองได้ โดยจะต้องมีการออกเป็นพระราชกฤษฎีกา ขยาย EEC ซึ่งคาดว่าในกระบวนการสามารถดำเนินการได้ภายในปีหน้า สอดคล้องกับ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอการเพิ่มจังหวัดปราจีนบุรี เป็นพื้นที่ EEC ซึ่งการศึกษาที่ผ่านมา พบว่าปราจีนบุรี มีความเหมาะสมมากที่สุด และมีความเป็นไปได้สูงที่จะดำเนินการต่อ เพราะสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมและการพัฒนาเมืองได้ โดยจะต้องมีการออกเป็นพระราชกฤษฎีกา โดยขยาย EEC ซึ่งคาดการณ์ว่าในกระบวนการสามารถดำเนินการได้ภายในปี 68 ดังนั้นมีมุมมองจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มนิคมที่มีพื้นที่ดังกล่าว บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA และโรงพยาบาลในส่วนบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH อย่างโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี และ บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG อย่างโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 304 อินเตอร์