ตลาดหุ้น

ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงานตลาดหุ้นไทยดัชนี SET ภาคเช้า (29 เม.ย.) ลงต่อเนื่องจากวานนี้ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ขณะที่ปัจจัยในประเทศส่วนใหญ่ยังเป็นลบ ประกอบกับสัปดาห์หน้าตลาดหุ้นไทยมีวันหยุดยาวทำให้นักลงทุนอาจขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงโดยให้กรอบการเคลื่อนไหวในช่วง 1,388-1,400 จุด นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงตามสหรัฐ และตลาดหุ้นภูมิภาคอื่นๆ ที่ผิดหวังจากมติที่ประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่ไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามมองว่าตลาดหุ้นคงปรับลงไม่มากนัก เพราะแม้ BOJ ไม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม แต่นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ อาจจะมีมาตรการทางการคลังรอบใหม่ออกมา ซึ่ง BOJ คงจะรอดูว่ารัฐบาลว่าจะออกมาตรการใดออกมาก่อน จึงจะค่อยออกมาตรการทางการเงินเข้ามาเสริม สำหรับตัวเลขประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เบื้องต้นไตรมาสแรกของสหรัฐโตแค่ 0.5% มองว่าตลาดน่าจะรับรู้อยู่แล้วว่าไตรมาสแรกจะโตช้า กำไรบริษัทเอกชนลดลงเพราะดอลลาร์แข็ง และจะไปฟื้นตัวดีในไตรมาส 2 ขณะที่ตัวเลขแรงงานยังแข็งแกร่ง ส่วนทิศทางของตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่าย คาดว่าดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ประกอบกับวันจันทร์เป็นวันหยุดชดเชยวันแรงงานแห่งชาติด้วย ทำให้นักลงทุนบางส่วนอาจจะเลือกขายทำกำไร และลดพอร์ตการลงทุนเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงมาก นายวรุตม์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังต้องรอดูตลาดหุ้นยุโรปที่จะเปิดทำการในช่วงบ่ายด้วย หากตลาดหุ้นยุโรปเปิดบวก ตลาดหุ้นไทยก็อาจจะปิดบวกได้เล็กน้อย โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,388-1,400 จุด บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (29เม.ย.) ว่า SET เคลื่อนไหว Sideways ในกรอบ 1,390-1,410 จุด จนถึงสัปดาห์ก่อนก่อนหยุดยาว ขณะที่ต้องระวังการ "พักฐาน" ในเดือน พ.ค.มากขึ้น โดยสถิติในอดีต 6 ใน 10 ปี SET ให้ผลตอบแทนเป็น "ลบ" ในเดือน พ.ค. โดยกลุ่มหุ้นที่มักจะ Outperform ตลาดในเดือน พ.ค.ได้แก่ กลุ่มโรงแรม โรงพยาบาล ค้าปลีก และ Asset Fund อย่าง MINT CENTEL BH BDMS CPALL ROBINS และ CPNRF จากสถิติในอดีตช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กลุ่มโรงแรมมีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็น "บวก" สูงถึง 80% ในเดือน พ.ค. ซึ่งมองว่าส่วนหนึ่งเป็นปัจจัยบวกจากผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ที่ส่วนใหญ่ออกมาดี เนื่องจากเป็นช่วง High Season โดยแนะนำ "ซื้อ" MINT คาดว่ามีจังหวะ Rebound ระยะสั้นด้วยเป้าหมาย 37.50-38.0 บาท หลังราคาหุ้นปรับลดลงกว่า 8% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ประกอบกับใกล้แนวรับ 3 เดือนบริเวณ 35.75 บาท และแนวรับ Uptrend Line บริเวณ 35 บาท มี Downside Risk จำกัดระยะสั้นแล้ว สรุป 5 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดภาคเช้า JAS มูลค่าการซื้อขาย 2,623.86 ล้านบาท ปิดที่ 4.38 บาท เพิ่มขึ้น 0.18 บาท SUPER มูลค่าการซื้อขาย 1,324.26 ล้านบาท ปิดที่ 1.98 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท BDMS มูลค่าการซื้อขาย 817.48 ล้านบาท ปิดที่ 23.70 บาท ลดลง 0.50 บาท AOT มูลค่าการซื้อขาย 737.46 ล้านบาท ปิดที่ 389.00 บาท ลดลง 4.00 บาท BEM มูลค่าการซื้อขาย 681.07 ล้านบาท ปิดที่ 5.95 บาท ลดลง 0.05 บาท