ธุรกิจทีวี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (22 พ.ย. 2564) ราคาหุ้นบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC ณ เวลา 11:58 น. อยู่ที่ระดับ 15.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ 5.59% โดยทำจุดสูงสุดที่ 15.30 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 14.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 434.81 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (19 พ.ย. 26564) ว่า ทางผู้บริหารเปิดเผยว่าสื่อโฆษณาเริ่มฟื้นตัวในเดือน พ.ย. 2564 ตามเม็ดเงินโฆษณาเพิ่มขึ้นหลังคลายล็อกดาวน์ คาดอัตราการใช้สื่อโฆษณาไตรมาส 4/2564 เพิ่มขึ้นเทียบกับไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 60% สำหรับรายได้ Digital Platform ทั้งปียังคงประมาณการใกล้เดิม 1,000 ล้านบาท บริษัทวางตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2565 เพิ่มขึ้นสองหลัก โดยใช้กลยุทธ์ Single content, Multiple Platform โดยยังคงมุ่งเน้นธุรกิจทีวีเป็นหลัก โดยธุรกิจทีวีจะเติบโตขึ้นกับคอนเทนต์และการปรับอัตราค่าโฆษณาหรือการขยายเวลาการออกอากาศในช่วง primetime และรายได้จากกลุ่ม digital platform รวมถึงขายคอนเทนต์ไป ต่างประเทศ และมีแผนขยายธุรกิจ (1) ภาพยนตร์เตรียมประกาศพันธมิตรต้นเดือนธ.ค. 2564 และจะเปิดกล้องต้นปีหน้า (2) มิวสิค มีแผนทำค่ายเพลงโดยใช้ศิลปินดาราในค่ายสังกัดช่วยสร้างรายได้และงานกิจกรรมเพิ่มขึ้น (3) งานบริหารศิลปิน (4) รับจ้างผลิตคอนเทนท์รองรับตลาด OTT platform สำหรับแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 4/2564 คาดเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากอัตราการใช้จ่ายสื่อโฆษณาที่เพิ่มขึ้นหลังคลายล็อกดาวน์อยู่ที่ 70% จากเดิมคาด 60% โดยคาดอัตราค่าโฆษณาทรงตัวอยู่ที่ราว 80,000 บาท/ นาที ทางฝ่ายวิจัยจึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 เพิ่มขึ้นจากเดิม 5% และปี 2565 เพิ่มขึ้นจากเดิม 9% ซึง่คาดกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 654 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่ขาดทุนสุทธิ 214 ล้านบาท และคาดกำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 972 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมาจาก (1) จากคาดอัตราการใช้สื่อโฆษณาอยู่ที 66 - 70% ตามลำดับ อัตราค่าโฆษณาอยู่ที่ 81,200 - 86,000 บาท/นาที จากการคาดสถานการณ์เศรษฐกิจจะดีขึ้นจาก COVID-19 ผ่อนคลายและการออกคอนเทนต์ใหม่ รายได้จาก Digital Platform คาดปีนี้ลดลง 19% และปีหน้าเพิ่มขึ้น 29% จากการขยายประเทศใหม่ๆมากขึ้นคาดอัตรามาร์จิ้นเพิ่มขึ้นตามรายได้เพิ่มและการปรับโครงสร้างธุรกิจควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย สำหรับภาพรวมสื่อโฆษณาค่อยๆเริ่มฟื้นคาดผลประกอบการ BEC เติบโตจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ รวมถึงการขยายแพลตฟอรม์ออนไลน์และการขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทมีสถานะการเงินแข็งแกร่งเป็นเงินสดสุทธิ (net cash) ทางฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย เพิ่มขึ้นตามการปรับประมาณการอยู่ที่ 16.50 บาท จากเดิม 14.50 บาท เทียบเท่าค่า PE ปี 2565 ที่ 34 เท่า หรือค่า PEG ที่ 1 เท่า ส่วนราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ค่า PER ปี 2565 อยู่ที่ 29 เท่า คาด Dividend Yield ปี 2565 อยู่ที่ 3.10%