นางสาวกรองทอง ปลูกผลงาม

นางสาวกรองทอง ปลูกผลงาม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 ว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/66 บริษัทรายได้รวม มูลค่า 1,0068 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.10% และไตรมาสก่อนหน้า 8.5% โดยรายได้รวมแบ่งเป็น รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์จำนวน 9,765 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบไตรมาสก่อน 8.4% และช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.4% และสามารถทำกำไรขั้นต้นได้ที่ระดับ 35.5% ส่งผลให้ไตรมาส 3/66 มีกำไรสุทธิได้ 1,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 19.6% และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้านี้ 9.9% ส่วนงวด 9 เดือนแรกปี 2566 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 28,756 หมื่นล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายอสังหา 27,919 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,719 ล้านบาท โดย ณ ไตรมาส 3/66 บริษัทเข้าซื้อที่ดินแล้วมูลค่า 13,939 ล้านบาท คิดเป็น 69.7% ของเป้าหมายที่จะซื้อราว 2 หมื่นล้านบาท สำหรับไตรมาส 3 บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 14 โครงการรวมมูลค่า 1.85 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็น โครงการบ้านเดี่ยวทาวน์เฮ้าส์ และในต่างจังหวัด และรวม 9 เดือน 2566 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 32 โครงการ รวมมูลค่า 39,560 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3 มีโครงการที่โอนกรรมสิทธิ์ 100% ทั้งสิ้น 7 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม ส่วน 9 เดือนมีโครงการที่โอนกรรมสิทธิ์ 100% รวมจำนวน 20 โครงการ ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/66 มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 23 โครงการ รวมมูลค่า 35,740 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 9 โครงการ,ทาวน์เฮ้าส์ 11 โครงการ,ต่างจังหวัด 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ โดยรวมทั้งปี 2566 เตรียมเปิดตัวทั้งหมด 55 โครงการ รวมมูลค่า 75,300 หมื่นล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 23 โครงการทาวน์เฮ้าส์ 25 โครงการ ต่างจังหวัด 4 โครงการ คอนโดมิเนียม 3 โครงการ ด้านยอดพรีเซล 10 เดือน 2566 อยู่ที่ 38,858 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 10,713 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.8% และแนวราบอยู่ที่ 28,145 ล้านบาท ส่วนแบ็กล็อก Backlog ช่วง 10 เดือน อยู่ที่ 32,548 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น แบ็กล็อกอยู่ในส่วนของบริษัทจำนวน 18,500 ล้านบาท และ JV อยู่ที่ 14,000 ล้านบาท สำหรับแบ็กล็อกดังกล่าวอยู่ในส่วนของคอนโดมิเนียม มูลค่า 16,076 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ 3,400 ล้านบาท และรับรู้รายได้ในปี 2567 มูลค่า 7,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะรับรู้รายได้ในปี 2568-2569 และแนวราบมูลค่า 16,472 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ และไตรมาส 1/67