น.ส.วิโลวรรณ กาญจนกันติ

น.ส.วิโลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 24 ส.ค.66 เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก 2566 มีรายได้ขายและบริการ 385,122 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 5,732 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลัง 2566 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากทิศทางราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาขึ้น ประกอบกับความต้องการใช้น้ำมันเติบโตตามภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะน้ำมันอากาศยาน (เจ็ท) ที่มีอัตราเติบโตขึ้นอย่างมาก อีกทั้งความชัดเจนทางด้านการเมืองในประเทศ คาดจะช่วยหนุนในการผลิตและการลงทุน นอกจากนี้สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (The International Energy Agency : IEA) เดือนกรกฎาคม 2566 คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกในปี 2566 อยู่ที่ 102.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ระดับ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปี 2566 อยู่ที่ 80-86 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล “แนวโน้มครึ่งปีหลังจากการประมาณการณ์การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ เชื่อว่าจะเติบโตต่อเนื่องมีการขยายธุรกิจก็เป็นครึ่งปีหลังที่สดใสของ OR โดยสัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่ 90% มาจากกลุ่มธุรกิจ Mobility แต่หากมองในมุม EBITDA Margin การเติบโตส่วนใหญ่จะมาจากกลุ่มธุรกิจ Lifestyle (ธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม) ทั้งพอร์ตคิดเป็นประมาณ 25%” น.ส.วิโลวรรณ กล่าว น.ส.วิโลวรรณ กล่าวอีกว่า สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ทางบริษัทฯ มีแผนขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า “EV Station PluZ” โดยวางเป้าทั้งปีแตะ 800 แห่ง จาก ณ 30 มิถุนายน 2566 ติดตั้งแล้วทั้งสิ้นจำนวน 588 แห่ง แบ่งเป็น DC Fast Charge จำนวน 1,100 หัวชาร์จ แบ่งเป็นในสถานีบริการจำนวน 453 แห่ง (เปิดใช้งานแล้ว 333 แห่ง) และนอกสถานีบริการ จำนวน 135 แห่ง ขณะเดียวกันมีแผนขยายสาขาร้าน Cafe Amazon ปีนี้แตะ 4,100-4,200 สาขา โดย ณ 30 มิถุนายน 2566 อยู่ที่ 4,007 สาขา ทั้งนี้ร้าน Cafe Amazon ภายใต้ธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มในครึ่งปีแรก 2566 มีปริมาณจำหน่ายรวม 184 ล้านแก้ว เพิ่มขึ้น 10 ล้านแก้ว เพิ่มขึ้น 5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปัจจัยฤดูกาล และอุปสงค์เพิ่มขึ้นจากกิจกรรมส่งเสริมการขาย ส่วนแผนควบรวมกิจการ M&A ปัจจุบันมีดีลในมือหลายรายทั้งเล็กและใหญ่ โดยธุรกิจใหม่ที่อยู่ระหว่างเจรจาความร่วมมือคือ ธุรกิจเฮลท์แอนด์เวลเนส รวมถึงโปรดักส์สินค้าบิวตี้ แต่ยังต้องรอให้ดีลมีความชัดเจนมากกว่านี้จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง นอกจากนี้ มีแผนที่จะผลักดันบริษัทลูกเข้าตลาด 1-2 บริษัทที่จะทำ IPO แต่ต้องดูความชัดเจนในเรื่องของกำไรให้ชัดเจนมากกว่านี้ โดยบริษัทที่คาดว่าจะมีแผนทำเร็วสุดตัวแรกคือ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ซึ่งเป็นดำเนินธุรกิจร้านอาหาร ภายใต้แบรนด์ โอ้กะจู๋ ที่ OR ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนราว 20% โดยมีแผนจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯเร็วๆนี้ เพื่อมารองรับการขยายธุรกิจ อาทิ การนำเทคโนโลยี Smart Farm มาใช้ เพื่อทำให้ได้ผลผลิตที่สม่ำเสมอและมีคุณภาพ รวมถึงการสร้างครัวกลางที่จังหวัดเชียงใหม่ การสร้างศูนย์กระจายสินค้า เพื่อรองรับการขยายสาขาไปยังภูมิภาคต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ