ปอยเปต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7 ก.พ.68) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ประเด็นทางการเมืองหลายประเด็น หลังเป็นเถ้าแก่และสักขีพยาน ในงานจดทะเบียนสมรสของ “จักรภพ เพ็ญแข” กับ “สุไพรพล ช่วยชู” ที่สำนักงานเขตบางรัก โดยนายทักษิณ กล่าวยืนยันว่า การขออนุญาตออกเดินทางไปประเทศมาเลเซีย ไม่ได้ไปเที่ยวแต่ไปทำงาน เชื่อว่าสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้น่าจะดีขึ้น ได้พูดคุยกันว่าอะไรเป็นสาเหตุ และอะไรที่ทำให้ “ดับไฟ” ไม่ได้ ก็คุยกันลึก น่าจะมีความร่วมมือที่ดี ส่วนการเลือกตั้ง อบจ. ที่ผ่านมา ถูกมองว่าแม้ลงพื้นที่ไปหาเสียงเองแต่พรรคเพื่อไทยได้ นายก อบจ. 10 ที่นั่ง จากที่ส่งทั้งหมด 16 จังหวัด สะท้อนว่าเสื่อมมนต์ขลังหรือไม่ นายทักษิณ ยืนยันว่า ไม่ได้ผิดเป้าหมายและตนก็ไม่ได้มีมนต์ขลังอะไร “แก่แล้วนะครับจะ 76 แล้ว คนอายุต่ำกว่า 40 ไปแล้วมักจะจำผลงานผมไม่ได้ มันก็เรื่องธรรมดา แต่ว่าแน่นอนสักพักจะเข้าใจมากขึ้น แต่ผมก็เชื่อว่าสิ่งที่พรรคเพื่อไทยชนะมาก็ชนะหลายเขตอยู่ ที่ผิดคาดมีอยู่สักประมาณ 3 เขต 2 เขตเกิดจากความไม่สามัคคีของ สส. 1 เขตเกิดจากความประมาทของผู้ลงสมัคร ก็ไม่ได้ผิดเป้ามากมาย ไม่ต้องไปบอกครับ (ว่าเขตอะไร) พูดแค่นี้เจ้าตัวก็สะดุ้งแล้ว” อดีตนายกฯ กล่าวและย้ำอีกว่า “ผมไม่มีมนต์ขลังอะไร แก่ขนาดนี้ สาว ๆ ยังไม่มองเลย คือต่ำกว่า 40 เขาไม่รู้จักผมหรอก คนส่วนใหญ่ก็เกิน 40 ถึงจะจำผมได้” สำหรับสนามเลือกตั้งใหญ่ใน ปี 2570 นายทักษิณ คาดการณ์ว่า พรรคเพื่อไทยจะได้ สส. อย่างน้อย 200 คน และเป็นการจัดตั้งรัฐบาลผสมอีกครั้ง “แย่ ๆ คงมี 200 คือไม่อยากเป็นพรรคเดียวแล้วละ เพราะว่านกไม่มีขนคนไม่มีเพื่อนไม่ดี แต่เยอะมากก็ไม่ดีปวดหัว” ไทย-จีน สัมพันธ์ ร่วมปราบแก๊งคอลเซนเตอร์ ย้ำต้องห่วงคนไทยมากกว่าพม่า กรณีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการได้ฝากประเด็นอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ อดีตนายกฯ กล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นความสัมพันธ์สองประเทศที่ดีอยู่แล้ว หลายประเด็นที่ยังต้องคุยกันเพื่อความเข้าใจ เนื่องจากไทยมีทั้ง “สหรัฐอเมริกา” เป็นพันธมิตรเก่าแก่ที่สุดในเอเชีย และมี “จีน” ซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก็ต้องเป็นเพื่อนกัน เพราะฉะนั้นต้องวางความเหมาะสมตรงนี้ให้พอดี ซึ่งได้รับทราบว่าการพูดคุยเป็นไปด้วยดี ส่วนการปราบ “แก๊งคอลเซนเตอร์” นายทักษิณ กล่าวว่า เรากับจีนร่วมมือกันอย่างดีและได้ขอร้องประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมียนมา เนื่องจากมีปัญหาการสู้รบ ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่ง ไม่รู้ว่าใครใช้ก็มาจากแก๊งคอลเซนเตอร์กับยาเสพติด ดังนั้นถ้าไม่จัดการที่ต้นเหตุก็ไม่จบ ชุมชนฝั่งพม่าอาจจะเดือดร้อนจากมาตรการที่เกิดขึ้น แต่ต้องคิดว่าจะไปโอบอุ้ม พวกคอลเซนเตอร์ไว้ทำไม ถ้าไล่ออกไปเราก็จะดูแลเหมือนเดิม ส่งไฟฟ้าส่งสัญญาณโทรศัพท์ให้เหมือนเดิม แต่วันนี้เราต้องห่วงคนไทยฝั่งนี้ที่โดนหลอกมากกว่าห่วงสังคมฝั่งโน่นที่โอบอุ้มคอลเซนเตอร์ไว้ ขณะที่ทางฝั่งกัมพูชาก็มีข้อมูลชัดเจนขึ้นว่าใครเป็นใครก็จะขอความร่วมมือให้ได้ เพราะมีข้อมูลว่าที่ตรงปอยเปต “ตึก 25 ชั้น” เป็นของใคร ซึ่งคนนี้มีสัญชาติไทยด้วย อาจจะมีการถอนสัญชาติ อดีตนายกฯ ยังไม่กังวลที่ทางเมียนมาขอใช้ไฟฟ้าจาก สปป.ลาว แทนไทย นอกจากนี้ยังได้บล็อกน้ำมันไม่ให้เอาไปปั่นไฟด้วย และว่าการนำไฟจากทาง สปป.ลาว นั้น ไม่สะดวกเท่ากับใช้จากทางไทย “ทักษิณ” ยันนายกฯ “แพทองธาร” ยังไม่ปรับครม. รับเจอ “นักรำวง” ส่วนกระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ล่าสุดที่สะพัดออกมาเมื่อวานนี้ นายทักษิณ กล่าวว่า ได้คุยกับนางสาวแพทองธาร บอกว่าทุกวันนี้ก็ทำงานร่วมกันไม่มีปัญหา อาจจะมีขัดข้องบางกระทรวงที่ทำงานช้า หรือว่าไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่ ก็ยังอยู่ในภาวะที่คุยกันได้ ยังไม่เห็นมีความจำเป็น โดยหลังศึกซักฟอก ก็ยังไม่น่ามีอะไร ย้ำวันนี้ยังทำงานร่วมกันได้ อดีตนายกฯ ปฏิเสธข่าวการโยก นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงพลังงาน ออกจากกระทรวงพลังงาน ว่า ยังไม่มีข่าวอะไรเลย นายพีระพันธุ์คุยกับนายกฯ ดี โดยเฉพาะเรื่อง คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่นายกฯ เป็นประธาน ซึ่งบางครั้งนายกฯ ก็มอบให้นายพีระพันธุ์ไปทำหน้าที่แทน ก็ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนที่รัฐบาลทำงานมาได้ระยะหนึ่งมีความเห็นว่าส่วนไหนต้องปรับเพื่อขยับให้เร็วขึ้นหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “ต้องถามตัวท่านนายกฯ แล้วว่าอึดอัดตรงไหน แต่วันนี้เท่าที่บอกก็ยังทำงานร่วมกันได้ มีบางที่ช้าไปหน่อย ก็คงต้องจี้กัน กระตุ้นกัน ก็ยังอยู่ในภาวะที่สามารถจี้และกระตุ้นกันได้อยู่” สำหรับความเห็นส่วนตัวนั้น นายทักษิณ กล่าวว่า “บางอันเราต้องการการตัดสินใจที่เด็ดขาดฉับไว ก็จะเจอนักรำวงบ้างอะไรอย่างนี้ ซึ่งเราไม่ชอบ ก็พยายามบอกว่าอย่ารำวงมาก ก็แค่นั้นเองไม่มีอะไร เพราะว่าการบริหารเนี่ยเป็นนักรำวงเนี่ย มันเป็นนักบริหารที่ดีไม่ได้” ทั้งนี้ อดีตนายกฯ ย้ำว่า การปรับครม. นั้นเป็นอำนาจ หน้าที่ และเป็นสปิริตของนายกฯ แพทองธาร ตนมีหน้าที่ให้คำปรึกษาถ้าต้องการคำปรึกษา