ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์

นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) ในฐานะผู้ก่อตั้ง “อรสิริน” เปิดเผยว่าบริษัทฯเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบ รวมถึงคอนโดมิเนียม และอาคารพาณิชย์บนทำเลคุณภาพจังหวัดเชียงใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าชาวไทย และต่างชาติมาโดยตลอด ทั้งนี้ ส่งผลให้โครงการต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของอรสิรินได้รับความนิยมต่อเนื่องมากว่า 17 ปี โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและขาย ณ ปี 2565 รวมทั้งหมด 18 โครงการ มูลค่ารวม 15,505 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 11 โครงการ มูลค่ารวม 8,348 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม จำนวน 7 โครงการ มูลค่ารวม 7,157 ล้านบาท โดยคงเหลือเพื่อขายมูลค่ารวม 6,385 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบมูลค่า 4,679 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่า 1,706 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทฯตั้งเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้นำอสังหาริมทรัพย์ระดับกลาง-บน ของภาคเหนือภายใน 3 ปีข้างหน้า นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ และคอนโนมิเนียมภายใต้แบรนด์ ได้แก่ โครงการ THE ESCAPE, HABITAT, BELIVE, ORNSIRIN, ORNSIRIN VILLE, URBAN MYX, THE ASTRA, ARISE และ THE NEXT ทั้งนี้ เพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายการเติบโตที่วางไว้เตรียมพัฒนาโครงการคุณภาพในปี 2566 - 2567 มูลค่ารวม 5,165 ล้านบาท โดยเร่งเปิดโครงการใหม่ปีนี้ บริษัทกำหนดแผนธุรกิจในปี 2566 เตรียมเปิดโครงการใหม่แนวราบ-แนวสูง รวม 6 โครงการ มูลค่ารวม 3,225 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 3 โครงการ มูลค่ากว่า 1,940 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมอีก 3 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,285 ล้านบาท คาดจะเริ่มพัฒนาโครงการในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 นอกจากนี้ภายในปี 2567 บริษัทเตรียมแผนการพัฒนาโครงการคุณภาพในพื้นที่ภาคเหนือเพิ่มเติม มูลค่ารวมประมาณ 1,940 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบมูลค่ารวมประมาณ 233 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมประมาณ 1,707 ล้านบาท เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำอสังหาริมทรัพย์ ภาคเหนืออย่างแข็งแกร่ง นาย อรรคเดช อุดมศิริธำรง ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยในภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ยังคงได้รับความนิยมจากชาวไทยและต่างชาติ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมด้านเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นการเติบโตทั้งโครงการที่อยู่อาศัยและ โครงการเชิงพาณิชย์ โดยบริษัทยังมีโอกาสเติบโตอีกมากจากแผนการเปิดโครงการใหม่ อีกทั้ง ปัจจัยสนับสนุนจากกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาลงทุนในประเทศได้มากขึ้น รวมถึง นโยบายมาตรการภาครัฐ อาทิ การลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และมาตรการผ่อนคลาย LTV (Loan To Value Ratio) ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้น โดยบริษัทฯ จึงเดินหน้าสร้างการเติบโตต่อเนื่อง เร่งขยายตลาดบนทำเลคุณภาพ ชูกลยุทธ์พัฒนาที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน ด้วยการออกแบบฟังก์ชันและนวัตกรรมการอยู่อาศัยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ลูกบ้านทุกโครงการ ควบคู่กลยุทธ์นวัตกรรมในการก่อสร้าง เพื่อควบคุมต้นทุนบริหารความเสี่ยงให้สอดรับกับต้นทุนที่ดิน ค่าก่อสร้าง และดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทเตรียมงบลงทุนในปี 2566-2567 ประมาณ 1,500 ล้านบาท เพื่อการซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในการสร้างโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมในอนาคตอย่างต่อเนื่อง พร้อมมุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพทางการเงิน โดยอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปีนี้ เพื่อสามารถรองรับการขยายตัวในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคง สำหรับบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายรวมในปี 2566 ไว้ที่ 1,735 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นสัดส่วนในโครงการแนวราบจำนวน 809 ล้านบาท หรือคิดเป็น 47% ขณะที่โครงการคอนโดมีเนียมจำนวน 926 ล้านบาท หรือคิดเป็น 53% และวางเป้ายอดโอนรวมไว้ที่ 1,471 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสัดส่วนของโครงการแนวราบ 768 ล้านบาท หรือคิดเป็น 52% ขณะที่โครงคอนโดมีเนียมจำนวน 703 ล้านบาท หรือคิดเป็น 48% ซึ่งคาดรับรู้รายได้ราว 1,400 ล้านบาท พร้อมเดินหน้ารักษาการเติบโตของยอดขายไว้ไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทโปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) เปิดเผยว่า บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) เตรียมยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ภายในวันที่ 10 เม.ย.2566 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 406.50 ล้านหุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาทต่อหุ้น เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะเข้าได้ในช่วงเดือนกันยายน-สิงหาคม 2566