ภาษีหุ้นชินคอร์ป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวอิศราเผยความคืบหน้าคดีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร (จำเลยที่ 1) และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ประกอบด้วย นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์, นายประภาส สนั่นศิลป์ และนายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ (จำเลยที่ 2-4) ต่อศาลภาษีอากรกลาง โดยขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากกรณีการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “ชินคอร์ป” ซึ่งกรมสรรพากรประเมินให้ต้องชำระภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 17,600 ล้านบาท โดยศาลภาษีอากรกลางได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ภ 220/2563 และหมายเลขแดงที่ ภ 109/2565 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 ว่า การออกหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) ของกรมสรรพากร เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเจ้าพนักงานประเมินมิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบนายทักษิณในฐานะตัวการ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร จึงมีคำสั่งเพิกถอนการประเมินดังกล่าว ต่อมาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร มีคำพิพากษาที่ 2819/2566 ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2566 พิพากษายืนตามคำวินิจฉัยของศาลภาษีอากรกลาง ให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เลขที่ ภงด.12-03025250-25600328-001-00005 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560 ซึ่งเป็นหนังสือที่แจ้งให้นายทักษิณ ชำระภาษีจำนวน 17,600 ล้านบาทแก่กรมสรรพากร แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมสรรพากรเปิดเผยกับสำนักข่าวอิศราว่า ภายหลังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ฯ กรมสรรพากรได้ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาคดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากรเรียบร้อยแล้ว โดยขณะนี้คดีกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา นอกจากนี้ ยังมีคดีที่เกี่ยวข้องซึ่งย้อนกลับไปเมื่อปี 2553 โดยนายพานทองแท้ ชินวัตร และนางสาวพินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ ได้ยื่นฟ้องกรมสรรพากรในลักษณะคล้ายกัน กรณีถูกเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้นชินคอร์ป ในคดีดังกล่าว ศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 266/2552 และหมายเลขแดงที่ 242/2563 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2553 ให้เพิกถอนการประเมินของกรมสรรพากร โดยระบุว่า นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา มิใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปโดยแท้จริง จึงไม่ถือเป็นผู้มีเงินได้ตามมาตรา 41 แห่งประมวลรัษฎากร และไม่อยู่ในข่ายผู้ได้รับประโยชน์ซึ่งมีลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และ 40 (2) ทำให้ทั้งสองไม่ต้องชำระภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มตามที่กรมสรรพากรประเมินไว้