มาตรการภาษีตอบโต้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นเอเชียเปิดทำการในแดนบวกวันนี้ (14 ก.พ.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ลงนามในแผนเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ในทันที ทั้งนี้ในช่วงเปิดตลาด ดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับ 39,419.25 จุด ลดลง 42.22 จุด หรือ -0.11% ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงปรับตัวขึ้น 212.70 จุด หรือ +0.98% มาอยู่ที่ 22,027.07 จุด ส่วนดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตของจีนลดลงเล็กน้อย 4 จุด หรือ -0.12% อยู่ที่ 3,328.48 จุด ด้านดัชนี KOSPI ของเกาหลีใต้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.14% ขณะที่ดัชนี S&P/ASX 200 ของออสเตรเลียเปิดบวก 0.76% โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (13 ก.พ.) ปธน.ทรัมป์ ลงนามในบันทึกของประธานาธิบดี (presidential memorandum) ซึ่งมีเป้าหมายเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กับประเทศที่จัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ โดยทรัมป์ระบุว่า ภายใต้แผนนี้ สหรัฐฯ จะถือว่านโยบายที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร (non-tariff policies) เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และมาตรการกีดกันทางการค้าอื่น ๆ เป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม และควรได้รับการตอบโต้ด้วยภาษีศุลกากร นอกจากนี้ ทรัมป์ยังส่งสัญญาณว่า สหรัฐฯ จะไม่อนุญาตให้ประเทศต่าง ๆ ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ผ่านประเทศที่สาม เพื่อหลบเลี่ยงภาษี พร้อมทั้งเผยถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติม โดยเฉพาะภาษีการนำเข้ารถยนต์ อย่างไรก็ตาม รายงานจากสำนักข่าว CNBC ระบุว่า มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้จะยังไม่มีผลบังคับใช้ในทันที โดยทรัมป์ระบุว่า โฮเวิร์ด ลุตนิก ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ จะเป็นผู้นำในการศึกษาประเด็นภาษีศุลกากรเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 1 เม.ย. ก่อนที่ทรัมป์จะตัดสินใจดำเนินการมาตรการดังกล่าวในวันที่ 2 เม.ย. ทั้งนี้ ลุตนิกกล่าวว่า ในระหว่างที่การศึกษายังดำเนินอยู่ ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ อาจเลือกปรับลดภาษีศุลกากรของตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบโต้จากสหรัฐฯ