ลงทุนโค้งท้ายไตรมาส 3

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” รวบรวมข้อมูลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯที่น่าสนใจมานำเสนอ เพื่อประกอบการลงทุนครึ่งหลังเดือนก.ย.และเป็นช่วงโค้งสุดท้ายไตรมาส 3/2564 โดยครั้งนี้คัดกรองจากข้อมูลของบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัดได้รวบรวมข้อมูลเอาไว้ดังนี้ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า มุมมองตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งเดือนหลัง ก.ย. 2564 ยังไม่เปลี่ยนแปลงจากต้นเดือน ก.ย.ที่มองไว้ว่า SET Index ปีนี้มี Upside จำกัด แม้แนวโน้มสถานการณ์ระบาดภายในประเทศยังดีขึ้นต่อเนื่องและกระแสเงินทุนต่างชาติยังไหลเข้าอยู่ก็ตาม (ตั้งแต่ต้นเดือนก.ย.ถึงปัจจุบัน ต่างชาติซื้อสุทธิ 5.1 พันล้านบาท นับเป็นการซื้อสุทธิเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน) หลัก ๆ เนื่องจาก 2 ปัจจัยพื้นฐานสำคัญ คือ การเติบโตทาง เศรษฐกิจและผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยภาพรวมยังฟื้นตัวช้า ทำให้ระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยในปัจจุบันเริ่มตึงตัว อีก ครั้ง โดยคิดเป็น Fwd, PER ปี 20226 ที่ 17 เท่า Vs Fwd. PER เฉลี่ยระยะยาวในอดีตที่ต่ำกว่า 17 เท่า และยังคงเป้าหมาย SET Index ปีนี้ไว้ 1620 จุด ด้วยแนวโน้มสถานการณ์ระบาดในประเทศดีขึ้น นอกจากจะมีการคาดการณ์การคลายล็อกดาวน์เพิ่มเติมเป็นระยะ ๆ ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้แล้ว เชื่อว่านักลงทุนก็จะคาดหวังการเปิดประเทศ อย่างไรก็ดี มองแผนการเปิดประเทศยังเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น การเปิด ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติพลาดเป้า, ประเทศไทยยังคงเป็น ประเทศสีแดงที่เสี่ยงต่อการเดินทาง และที่สำคัญที่สุด แผนการทยอยเปิดบประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่สอดคล้องกับการ ฉีดวัคซีน โดยจังหวัดที่มีแผนจะทยอยรับนักท่องเที่ยวต่างชาติยังมีอัตราการฉีดวัคซีนที่อยู่ เพราะฉะนั้นในแง่ของธีม “Re-opening จึงชอบหุ้นที่อ้างอิงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศมากกว่าหุ้นท่องเที่ยวที่ราคาส่วนใหญ่ไปไกลเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน มากแล้ว นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งเดือนหลัง มองกระแสเงินทุนต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอตัว เพื่อรอความชัดเจนของผลการประชุมธนาคาร กลางสหรัฐฯ (FED) ในวันที่ 21-22 ก.ย.นี้ เกี่ยวกับการทำ QE Tapering และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต สำหรับ QE Tapering เชื่อว่า FED จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในการประชุมเดือน พ.ย. และเริ่มต้นแต่จริงในเดือน ธ.ค.ส่วนหนึ่ง ก็เพื่อรอดูผลการพิจารณาแผนการใช้จ่ายเงินของปอบ ไปโดนมูลค่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งจะรวมถึงแผนการขึ้นภาษีด้วย และความขัดแย้งทางการเมืองในการขยายเพดานหนี้ภายในเดือน ต.ค. นี้ ส่วนการเปิดเผยภาพการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Pot) สำหรับปี 2567 เป็นครั้งแรกในการประชุมเดือนนี้ หาก Dot Plot บ่งชี้ว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นก่อนปี 2566 หรือสะท้อนถึงปี 2567 มีแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยที่ต่อเนื่องจากปี 2566 ที่มากกว่าตลาดคาดไว้ 2 ครั้ง อาจทำให้ตลาดหุ้นโลกเกิดความฝันผวนได้ในระยะสั้นได้ ด้านกลยุทธ์การลงทุน เน้นการหาจังหวะซื้อช่วงตลาดอ่อนตัว มีกรอบแนวรับ และแนวทางที่ 1620,1600-1610 และ 1650+/- ตามลำดับ โดยเน้นหาจังหวะตั้งรับช่วงตลาดอ่อนตัวกับ 3 ธีมหุ้นเด่นระยะสั้นได้แก่ (1) กลุ่มได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจที่เป็นหุ้นหลัก ๆ ของตลาด ชอบ CPALL, CPN, CRC ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์เช่นกัน แต่ราคายังขึ้นน้อยและถูกมองข้าม ชอบ BEM, DMT, MAJOR, PLANE, STEC, VGI, WHA, WORK (2) หุ้นเข้าข่าย Window Dressing จากข้อมูลเชิงสถิตินับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 2008 เป็นต้นมา “Window Dressing" สำหรับตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยสุด ในไตรมาส 3 เพียง 42% เท่านั้น เทียบกับไตรมาสอื่น ๆ ที่มีโอกาสประมาณ 58-59% อย่างไรก็ดี หากพิจารณาเจาะลึกลงเป็นรายไตร มาสด้วยสมมติฐานว่า ทิศทางผลตอบแทนของ SET Index ในแต่ละไตรมาสสามารถคาดการณ์ผลกระทบ Window Dressing ว่าจะ เกิดขึ้นหรือไม่ในไตรมาสนั้น ๆ ได้ โดยมีความน่าจะเป็นเฉลี่ยสูงถึง 68% เพราะฉะนั้นจาก SET Index นับตั้งแต่ต้นไตรมาส 3 (QTD) ที่ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวก จึงยังคาดหวังผลกระทบ Window Dressing สำหรับไตรมาสนี้ได้ โดยมองหุ้นเข้าข่าย Window Dressing Pin AIE, CPN, KTC, SEAFCO (3) หุ้น Earning Play เบื้องต้นคาดกำไรไตรมาส 3/2564 เติบโตเทียบไตรมาสก่อน และเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ PTT, CRC, MAJOR, BCH, CHG โดยกลุ่มแบงก์ & ไฟแนนช์ ชอบ BBL, KBANK, SCB, KTC, AMANAH ส่วนกลุ่ม พลังงาน & ปิโตรฯ ได้แก่ BCP, EASTW, SPRC, PTTGC, IVL และกลุ่มค้าปลีก ได้แก่ COM7, DOHOME, GLOBAL ส่วนกลุ่มอีเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ HANA, KCE และกลุ่มขนส่ง ได้แก่ JWD, KEX, WICE และอื่นๆ BEC, HTECH, ROJNA,TWPC