สมาชิกรัฐสภา

วันนี้ (5 มี.ค.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรส ซึ่งเป็นการปราศรัยครั้งสำคัญ หลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 20 ม.ค.68 โดยเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ พร้อมส่งสัญญาณถึงมาตรการภาษีตอบโต้ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย.นี้ ในช่วงต้นของสุนทรพจน์ ทรัมป์ประกาศว่า “America Is Back” ยืนยันว่า อเมริกากลับมายิ่งใหญ่แล้ว หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ทรัมป์กล่าวถึงคือ นโยบายภาษีเพื่อตอบโต้ประเทศที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ในอัตราที่สูง โดยเขาระบุว่า จะไม่ยอมปล่อยให้สหรัฐฯ เป็นฝ่ายเสียเปรียบทางการค้าอีกต่อไป "ประเทศอื่น ๆ ใช้ภาษีศุลกากรกับเรามานานหลายทศวรรษแล้ว และตอนนี้ถึงคราวของเราแล้วที่จะเริ่มใช้ภาษีศุลกากรกับประเทศอื่น ๆ เหล่านั้น” บรรยากาศในสภาคองเกรสสะท้อนถึงความขัดแย้งทางการเมืองอเมริกาที่แบ่งออกเป็น 2 ฝั่งชนิดที่ยังไม่สามารถที่จะประสานเป็นเนื้อเดียวกันได้ โดยสมาชิกพรรครีพับลิกันลุกขึ้นยืนปรบมือสนับสนุนทรัมป์เป็นระยะ ขณะที่สมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคนนั่งเงียบ บางรายถึงขั้นถือป้ายประท้วงที่มีข้อความว่า “โกหก, หลอกลวง” อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังคงยืนยันว่าพร้อมจะทำงานร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า “มาทำงานร่วมกันเถอะ” พร้อมเรียกร้องความสามัคคีจากทุกฝ่ายในสภาคองเกรส แต่ต่อมาทรัมป์เรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาสนับสนุนมาตรการลดภาษีของเขา ด้วยการเตือนว่า “ถ้าคุณไม่ยกมือให้ ประชาชนจะไม่เลือกพวกคุณอีก” สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า การกล่าวสุนทรพจน์ของทรัมป์ในครั้งนี้ทำให้หลายคนคิดถึงการหาเสียงของเขา แม้ว่าครั้งนี้จะหลีกเลี่ยงนิสัยที่ออกนอกลู่นอกทาง แต่ก็ยังคงโจมตีประธานาธิบดีโจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต, ผู้อพยพ และอุดมการณ์ข้ามเพศ การกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ยังตอกย้ำแนวทางเศรษฐกิจและการค้าของทรัมป์ที่เน้นการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ พร้อมทั้งแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวขึ้นต่อคู่ค้าระหว่างประเทศ นับถอยหลังเข้าสู่มาตรการภาษีตอบโต้ที่จะมีผลในวันที่ 2 เม.ย.นี้