สเปเชียลตี้ เนเชอรัล อินโนเวชั่น

ดร.ธีรญา กฤษฎาพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล อินโนเวชั่น จำกัด เปิดเผยในงาน Battle Strategy แผนฝ่าวิกฤติ พิชิตสงคราม EPISODE IV: STARTUP SME TO MEGATREND งานสัมมนาออนไลน์รูปแบบ Virtual LIVE แห่งปีที่ หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.65 ว่า จุดเริ่มต้นของบริษัทฯ เกิดจากความรักในสมุนไพร ต้องการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมสมุนไพร เพื่อมาตอบโจทย์ด้านสุขภาพและความงาม โดยนำสมุนไพรท้องถิ่นมาเพิ่มมูลค่า ซึ่งบริษัทฯ ตั้งใจอยากจะเติมเต็มปัจจัย 4 ในชีวิตประจำวันของทุกคน ในเรื่องของอาหารและยา เน้นสิ่งที่สามารถสร้างได้ในประเทศไทย สำหรับการเติบโตและการขยายตัวของธุรกิจ บริษัทฯ ได้รับซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรในประเทศ เพื่อนำมาเพิ่มมูลค่า ทำให้ส่งออกสารสกัดสมุนไพรออกไปได้ถึง 30 ประเทศผ่านความเชื่อมั่น ซึ่งต้องใช้เวลาพิสูจน์ทางงานวิจัยและมาตรฐานต่างๆ เพื่อให้ได้รับการยอมรับ “การทำธุรกิจ B2B เราต้องมองว่าเราเป็นลูกค้า และจะทำอย่างไรให้ลูกค้าประสบความสำเร็จ พยายามมองเมกะเทรนด์ต่างๆ และดูว่าอะไรคือ Gap เพื่อให้ลูกค้าเข้าไปเติมเต็ม” ดร.ธีรญา กล่าว โดยเป้าหมายการเติบโตของบริษัทฯ ก็คือการที่บริษัทฯ สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ เชื่อว่าสิ่งที่มาจากธรรมชาติ 100% จะช่วยผู้บริโภคได้เทียบเท่ากับยา อยากต่อยอดและพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า อยากให้ต่อยอดผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่มาจากสมุนไพร ที่ช่วยตอบโจทย์เรื่องสุขภาพจริงๆ ตามความต้องการของตลาด สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศ อย่างไรก็ดีการเติบโตของบริษัทฯ จะเป็นทั้ง Ecosystem โดยการตัดสินใจในช่วงวิกฤติ หรือในช่วงเวลาที่มีน้อยเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้บริษัทฯ มีความตั้งใจทำการตลาดในเรื่องของสุขภาพและความงามที่มาจากธรรมชาติ ซึ่งมี Gab และโอกาสเยอะมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยผู้ประกอบการไทย นักวิจัยไทย และคู่ค้า มีศักยภาพสูง เราต้องสามารถก้าวเข้าไปปิด Gab และเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้เล่นในตลาดโลก อีกทั้งบริษัทฯ ยังมุ่งมั่นในเรื่องของ BCG (Bio-Circular-Green Economy) อีกด้วย เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทฯ อยากจะเติบโตเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการ และสิ่งแวดล้อม รวมถึงสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค สำหรับการรับมือกับความเสี่ยงในช่วงที่ผ่านมา คือการมีสตินำไปสู่การตัดสินใจ และการสื่อสารให้ทีมงานและผู้ที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานเห็นถึงความชัดเจน ความโปร่งใส และมีการกระจายการบริหารให้มีอำนาจตัดสินใจได้รวดเร็ว