อภิวัฒน์ ทวีศิริเวช

นายจรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ Head of Research บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด หรือ “Liberator” ประเมินทิศทาง SET Index ผ่านรายการ LIB Talks ว่าเมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยยังคงขึ้นเป็น 4 วันติดต่อกัน โดยปิดที่ระดับ 1,337.83 จุด ซึ่งได้ผ่านทะลุแนวต้าน 1,330 จุดไปเรียบร้อยแล้ว หลังมีปัจจัยบวกหลายประเด็น อาทิ GDP ประเทศไทยไตรมาส 2/2567 ออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังไม่ได้ปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่วนของฟันด์โฟลว์ต่างชาติยังมีความโดดเด่น หลังจากค่าเงินบาทปรับตัวขึ้นมา 2% แข็งค่าต่อเนื่อง 4 วันติดต่อกัน โดยเรื่องแรกเป็นดอลลาร์พลิกกลับมาเป็นอ่อนค่า โดยมองว่าอเมริกาจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ย ส่งผลให้เงินเริ่มไหลออก ประกอบกับการเมืองในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น ทำให้ความต้องการอุปสงค์สินทรัพย์ในสกุลบาทเพิ่มขึ้น ส่งผลให้จะเห็นนักลงทุนกลับมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้น โดย 2 เดือนที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อพันธบัตรรัฐบาลไปแล้วอยู่ที่ 52,000 ล้านบาท ส่งผลเป็นเรื่องที่ดีต่อตลาดหุ้นไทยบ้านเรา โดยเมื่อวานนี้หุ้นที่หนุนตลาดหุ้นไทย ส่วนใหญ่พบว่าเป็นกลุ่มพลังงานเพิ่มขึ้น 2.1 จุด ส่วนกลุ่มที่กดตลาดหุ้นไทย คือกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ลดลง 2.6 จุด น่าจะหมดรอบของเดลต้าหลังจากหนุนตลาดหุ้นไทยมาตลอด ทำให้ หุ้นที่มีสถานะ คงค้างการขายชอร์ตจำนวนมาก มีโอกาสที่จะมีถูก Cover Short ขณะเดียวกัน นายอภิวัฒน์ ทวีศิริเวช นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ วิเคราะห์ว่า หลังจาก SET ผ่านแนวต้าน 1,330 จุดมาเรียบร้อยแล้ว นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง ซึ่งในมุมมองของนักเทคนิคต้องรีบช้อนกลับ หรือ Short Covering โดยเฉพาะตัวที่เจอแนวรับ และอัพไซด์มากขึ้น คาดว่ามีมุมมองบวกต่อกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่างหุ้น บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA กับบริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE คาดการณ์ว่ามีโอกาสกลับมารีบาวด์ โดยเฉพาะ KCE หากผ่านแนวต้านราคาอยู่ที่ 40 บาท จะส่งผลเชิงบวก และมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวรีบาวด์กลับมา ส่วน HANA ให้แนวสำคัญเปลี่ยนมุมมองที่ 42.50 บาท ทั้งนี้ จากข้อมูลที่ "ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์" ได้รวบรวมข้อมูลหุ้นที่มีสถานะคงค้างการขายชอร์ต 10 อันดับแรก ดังนี้ โดยจากการตรวจสอบในช่วงวันที่ 19-21 ส.ค.67 พบว่า 5 หลักทรัพย์ที่ถูกซื้อคืน (Cover Short) สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO จำนวน 15,994,700 หุ้น 2.บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS จำนวน 3,488,792.00 หุ้น 3.บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU จำนวน 3,152,600 หุ้น 4. บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM 5.บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB จำนวน 2,878,000 หุ้น