อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น.ROE

บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ทางฝ่ายวิจัยให้เรตติ้งกลุ่มธนาคารไทย Overweight เป็นกลุ่มที่ risk-reward มีมูลค่าที่น่าดึงดูด 0.64 เท่า 1-year forward P/BV ประเมินว่าจะมีการเติบโตกำไรที่แข็งแกร่ง และคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อที่ดีขึ้นจากการขึ้นดอกเบี้ย และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในปี 2565 เพิ่มขึ้น 3.3% และในปี 2566 เพิ่มขึ้น 3.5% สำหรับ GDP ของไทยในปี 2565 อยู่ที่ 11% แรงบวกจากกลุ่มท่องเที่ยวยังคงมองว่าสถานการณ์การดำเนินงานจะไม่แย่เหมือนช่วงโควิด ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่จะส่งผลให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ปี 2565-2567 เพิ่มขึ้นคือ 1) ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เติบโตจากการขึ้นดอกเบี้ย คาดว่าแตะ 1.5% ภายในสิ้นปี 2566 จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.75% 2) ตราส่วนค่าใช้จ่ายดําเนินงานต่อรายได้รวม (Cost to Income Ratio) สามารถควบคุมได้ในปี 2565-2567 อยู่ที่ 44-45% 3) ต้นทุนความเสี่ยงของสินเชื่อ (credit cost) และคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อดีขึ้น โดยประเมินว่าอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) จะสูงกว่า 8-8.5% ในปี 2565-2567 จาก 6% ในช่วงโควิด-19 ทั้งนี้ ถ้าอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ของกลุ่มธนาคารไทยอยู่ที่ 8% ทางฝ่ายวิจัยคาดว่าจะมี P/BV อยู่ที่ 0.8 เท่า เทียบกับปัจจุบัน 0.64 เท่า ซึ่งกลุ่มธนาคารมีค่าสหสัมพันธ์ระหว่าง real GDP กับ NPL ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ตีความได้ว่าการฟื้นตัว และเติบโตทางเศรษฐกิจจะช่วยทำให้ NPL ลดลง ส่งผลให้ credit cost ลด และส่งผลให้ ROE สูงขึ้น โดยทางฝ่ายวิจัยมอง 3 หุ้นเป็นท็อปพิก ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP สำหรับในกลุ่มธนาคารใหญ่ BBL แนะนำราคาเป้าหมาย 174 บาท, SCB แนะนำราคาเป้าหมาย 145 บาท มีมูลค่าน่าดึงดูด โดยได้รับปัจจัยบวกจากการขึ้นดอกเบี้ย และคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อเติบโตแข็งแรง และปรับคำแนะนำ KKP ราคาเป้าหมาย 90 บาท เป็นซื้อจากการเติบโตพอร์ตสินเชื่อแข็งแกร่ง และขาดทุนรถยึดที่ต่ำลง รวมถึงปรับคำแนะนำ TISCO เป็นซื้อจากมูลค่าที่น่าสนใจ ทางฝ่ายวิจัยมองบวกคาดยีลด์ปันผลสูงราว 7.5% ในปีนี้