อเมริกันเฮลธ์แคร์

ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.20 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 34.46 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลง โดยได้รับแรงกดดันจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้ยกเลิกการลงมติเกี่ยวกับการนำร่างกฎหมาย "อเมริกันเฮลธ์แคร์" มาใช้แทนกฎหมาย "โอบามาแคร์" เนื่องจากเสียงสนับสนุนของพรรครีพับลิกันยังไม่มากพอต่อการผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าว นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทย (SET) วันนี้ผันผวน และมีโอกาสปรับตัวลงตามตลาดโลก อย่างไรก็ตามเชื่อว่าประเด็น "อเมริกันเฮลธ์แคร์" จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยไม่มาก เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะยังหนุนให้ Fund Flow ไหลเข้า รวมถึงการทำ Window dressing ช่วงปิดไตรมาสจะยังช่วยหนุนให้หุ้น Big Cap ปรับตัวขึ้น การลงทุนยังเน้นกลุ่มที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาสแรกของปีออกมาดีเป็นหลัก รวมถึงกลุ่มที่ให้ปันผลดี หรือเลือกเก็งกำไรในหุ้นในกลุ่มสื่อสารจากข่าวที่วันนี้ TOT จะเปิดให้ยื่นแผนธุรกิจในการใช้ประโยชน์จากคลื่น 2300MHz ร่วมกับ TOT หุ้นเด่นเลือก ADVANC-DTAC-TRUE-CPF-GFPT-TFG-HANA-TACC-KKP-BIG-BR-TASCO-TISCO-KCAR-PL-AAV-SUSCO-WORK-PTTGC-TPCH และ ESSO บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (27 มี.ค.) ว่า ทรัมป์ยังไม่สามารถผลักดันให้กฎหมาย "อเมริกันเฮลธ์แคร์" ผ่านสภาฯ ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความกังวลต่อการปฎิรูปกฎหมายอื่นๆ ตามมาไม่ว่าจะเป็น การปฎิรูปนโยบายภาษี หรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต ส่งผล Dow Jones -0.3% เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา, ค่าเงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่า และ Bond yield 10 ปีสหรัฐฯ ปรับลดลงต่ำกว่า 2.4% ขณะที่ Implied fed fund futures มองโอกาสที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 1.5% หรือมากกว่า (ปรับขึ้นอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง) เหลือ 52.2% คาด SET ถูกกดดันจาก sentiment ตลาดหุ้นโลก กรอบ 1,564-1,580 จุด แนะนำ "ซื้อ" ESSO ด้วยเป้าหมายพื้นฐาน 15.50 บาท ธุรกิจโรงกลั่นมี efficient ดีขึ้นต่อเนื่อง, ธุรกิจปั๊มน้ำมันได้ผลดีจากค่าการตลาดสูง, คาดกำไรเติบโต 60% ปีนี้ที่ 6.4 พันล้าน, PE ต่ำ 6 เท่า ขณะที่ล้างขาดทุนสะสมหมดกลับมาจ่ายปันผลปีนี้ด้วย dividend yield 5% และปีหน้า 10.2% รวมถึง "ซื้อ" KKP จากผลตอบแทนปันผลสูง 5.8% ในอีก 1 เดือนข้างหน้า และ 8.7% ปีนี้ รวมไปถึงหุ้น Valuation ต่ำ และกำไรเติบโตแกร่งในไตรมาส 1/17 อย่าง AAV SUSCO WORK PTTGC TPCH บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (27 มี.ค.) คาด SET เคลื่อนไหวผันผวนในทิศทางลง โดยมีแรงกดดันจากข่าวสภาผู้แทนราษฏรของสหรัฐคว่ำร่างกฏหมาย "อเมริกันเฮลธ์แคร์" ของโดนัลทรัมป์ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆต้องล่าช้าและเสี่ยงต่อการไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาตามไปด้วย อาทิ การปฏิรูปภาษี และ โครงการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน อย่างไรก็ตามคาดว่าประเด็นนี้จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเราไม่มาก เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะยังหนุนให้ Fund Flow จากต่างชาติยังไหลเข้า รวมไปถึงการทำ Window dressing ในช่วงปิดไตรมาสจะยังช่วยหนุนให้หุ้น Big Cap ยังปรับตัวขึ้นและช่วงประคองดัชนีเอาไว้ได้ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มสื่อสาร ADVANC TRUE DTAC น่าจะมีแรงเก็งกำไรจากข่าวที่วันนี้ TOT จะเปิดให้ยื่นแผนธุรกิจในการใช้ประโยชน์จากคลื่น 2300MHz ร่วมกับ TOT ส่วนกลุ่มอื่นๆเรายังเน้น Selective Buy เลือกหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการดีและมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว คือ 1) หุ้นที่คาดว่าจะประกาศงบไตรมาส 1/17 ออกมาเติบโตโดดเด่น HANA, TACC, KKP, BIG, BR, TASCO 2) หุ้นที่จ่ายปันผลดีและให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง อาทิ TISCO และ KKP 3) กลุ่มสินค้าเกษตร CPF GFPT และ TFG 4) กลุ่มที่เป็นเป้าในการทำ Window dressing อาทิ กลุ่มท่องเที่ยว และ ค้าปลีกซึ่งเป็นกลุ่มที่ราคาหุ้นยังปรับขึ้นไม่มากหากเทียบกับราคาปิดในปีที่ผ่านมา และ 5) หุ้นที่มีปัจจัยบวกจากกระแส IPO กลุ่ม Operating Lease (KCAR, PL) กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น : ADVANC (ซื้อ/เป้า 195.00 บาท) คาดเป็นเต็งหนึ่งที่จะได้ร่วมแผนธุรกิจกับ TOT เนื่องจากเคยทำธุรกิจร่วมกันแล้วในคลื่น 900MHz และคลื่น 2100MHz บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (27 มี.ค.) ว่า ประเด็นสำคัญสัปดาห์นี้ติดตามการประชุม กนง. วันที่ 29 มี.ค. นี้คาดจะยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% กลยุทธ์การลงทุน ประเมินดัชนี SET ยังคง Sideway Up ในกรอบ 1,560 - 1,580 จุด แนะนำเก็งกำไร ADVANC, DTAC, TRUE (+ ยื่นข้อเสนอ TOT บริหารคลื่น 2,300 MHz ) / CPF, GFPT, TFG (+ ปัญหาไข้หวัดนกในญี่ปุ่น , เกาหลีใต้)