เกาหลี ญี่ปุ่น

นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. เปิดเผยว่า ได้ปรับแผนการทำตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศใหม่ หลังรัฐบาลจีนยังไม่ชัดเจนกรณีการเปิดให้ชาวจีนออกท่องเที่ยวนอกประเทศได้ โดยจะเร่งดึงนักท่องเที่ยวจากตลาดอื่น โดยเฉพาะในเอเชียที่ฟื้นตัวได้เร็วเข้ามาเที่ยวไทยให้มากขึ้น ทั้งอินเดีย สิงคโปร์ เวียดนาม ที่คาดว่าทั้งปี 2565 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวไทยอย่างน้อย 50% จากปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด รวมถึงตลาดมาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน และอื่นๆ ทั้งนี้ระหว่างที่จีนยังไม่เปิดประเทศ ไทยได้รับอานิสงส์จากนักท่องเที่ยวมาเลเซีย และอินเดียเป็นหลัก ที่ต้องเร่งส่งเสริมด้านการตลาด โดยขณะนี้นักท่องเที่ยวมาเลเซีย เป็นอันดับ 1 ที่เดินทางเข้าไทย ซึ่งมีมากถึง 1,285,194 คนแล้ว และคาดว่าตลอดปีนี้จะได้ถึง 1.9 ล้านคน ถือเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุดของปีนี้ ที่เดินทางเข้าไทย เมื่อเทียบกับปี 62 ก่อนเกิดโควิด-19 ที่มีจำนวน 4.4 ล้านคน สำหรับนักท่องเที่ยวอินเดีย ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้มี 679,050 คน และยังพบว่ามีการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างไทย-อินเดีย ในเมืองต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น การบินไทยและไทยสมายที่ปัจจุบันให้บริการ 61 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ใน 6-7 เมืองของอินเดีย กำลังจะเพิ่มให้ได้ 100 เที่ยวบิน/สัปดาห์ โดยคาดว่าในปีนี้น่าจะได้นักท่องเที่ยวอินเดียถึง 1 ล้านคน ขณะที่ชาติอื่นที่เป็นความหวังของไทยเช่นกันได้เดินทางมาแล้ว ทั้ง สปป.ลาว 556,597 คน กัมพูชา 385,144 คน และสิงคโปร์ 374,997 คน โดยทั้งปี 2565 คาดว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติตามเป้าหมายที่ 10 ล้านคน โดย 70% เป็นตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ สำหรับปี 2566 ททท.ได้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 18 ล้านคน บนเงื่อนไขที่มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยบ้าง สร้างรายได้รวม 971,790 ล้านบาท แต่ถ้านักท่องเที่ยวจีนกลับมา 100% คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว 30 ล้านคน ทั้งนี้สำหรับในปีหน้ามี 2 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ คือ ตลาดจีนจะกลับมาหรือไม่ เพราะเมื่อปี 2562 ชาวจีนเที่ยวไทยครองสัดส่วน 30% มากเป็นอันดับ 1 ทั้งในเชิงจำนวนและรายได้ กว่า 11 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 5-6 แสนล้านบาท ส่วนอีกปัจจัย คือ การฟื้นตัวของตลาดยุโรปว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องราคาพลังงานซึ่งส่งผลกระทบทำให้ราคาตั๋วเครื่องบินแพงขึ้น และมาตรการทางเศรษฐกิจว่าจะช่วยลดผลกระทบได้มากน้อยเพียงใด