เพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นท่องเที่ยว

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลหลักทรัพย์ "กลุ่มท่องเที่ยว" คาดกำไรไตรมาส 4/67 เติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับได้ประโยชน์ช่วงไฮซีซั่นท่องเที่ยวหนุน ทำให้นักวิเคราห์ชั้นนำหลายแห่งของไทยออกมาปรับเป้าตัวเลขนักท่องเที่ยวปีนี้และปีหน้าเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลครั้งนี้รวบรวมมาจากบทวิเคราะห์ของบริษัท ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ซึ่งระบุข้อมูลไว้ดังนี้ บริษัท ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า "กลุ่มท่องเที่ยว" ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” จากเดิม “เท่ากับตลาด” โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวรวมฟื้นตัวได้ดีกว่าคาด โดยเฉพาะช่วง High season (ไตรมาส 4/67-ไตรมาส 1/68) ที่ไทย, มัลดีฟส์ และญี่ปุ่น ซึ่งจะส่งผลให้ช่วงไตรมาส 4/67-ไตรมาส 1/68 มีโอกาสที่กำไรจะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดได้ โดยได้ปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2567 และ 2568 เพิ่มขึ้น 6% และ 3% ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2567 อยู่ที่ 36 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 28% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากเดิมที่ 34 ล้านคน และจำนวนนักท่องเที่ยวรวมปี 2568 อยู่ที่ 39 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากเดิมที่ 38 ล้านคน เนื่องจากมีจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศรัสเซีย, ยุโรป และอินเดียเข้ามามากกว่าคาด โดยมีการเพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงก่อนโควิดในปี 2562 ถึง 104-120% แล้ว ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาได้ตามคาด ทำให้ยังคงจำนวนนักท่องเที่ยวจีนปี 2567 ไว้ที่ 6.5 ล้านคน และปี 2568 ไว้ที่ 8.0 ล้านคน ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 ของกลุ่มท่องเที่ยวไว้ที่เดิมที่ระดับ 9,956 เพิ่มขึ้น 12% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และปี 2568 อยู่ที่ 11,197 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนนอกจากนี้ได้มีการปรับประมาณการกำไรปกติปี 2567-2568 ขึ้นราว 3-5% ไปแล้วตั้งแต่ช่วงประกาศงบไตรมาส 3/367 ด้านรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักทั้งหมดในโรงแรม(RevPAR)ในไตรมาส 4/67 คาดว่าบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL จะมีการเติบโตที่สูงสุดที่ 10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน รองลงมาเป็น บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ที่ 7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT กับบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ERW โตเท่ากันที่ 5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 3% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เพราะเริ่มเข้า High season ขณะที่ Valuation มีการซื้อขายที่ EV/EBITDA ที่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด โดย Top pick ของกลุ่มท่องเที่ยวเลือก CENTEL แนะนำซื้อราคาเป้า 44.00 บาท จากกำไรปกติปี 2568 จะเติบโตได้สูงที่สุดเมื่อเทียบกับ MINT และ ERW ด้าน Valuation ซื้อขายที่ 2024E EV/EBITDA ที่ 11.7 เท่า (-1.25SD) ถูกกว่า ERW ที่ 14.6 เท่า และเลือก MINT แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 34.00 บาท จาก valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 2024EEV/EBITDA ที่ 10 เท่า ขณะที่คาดกำไรปกติไตรมาส 4/67 จะโต เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้ต่อเพราะเป็น High season ที่ไทยและมัลดีฟส์เข้ามาช่วยหนุน ประกอบกับแผนการจัดตั้ง REIT ที่จะช่วยลดความผันผวนได้หลายทาง บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติสัปดาห์ล่าสุด 25 พ.ย.-1 ธ.ค. ปรับตัวลดลง 5.7% เทียบสัปดาห์ก่อน มาที่ 1.0 แสนราย หลักๆ เป็นการปรับลดลงมีนัยฯ ในส่วนนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่ชะลอ หลังหาดใหญ่ประสบปัญหาน้ำท่วม ทำให้ภาพกลุ่มท่องเที่ยวเป็นลบเล็กๆ โดยตลาดน่าจะให้น้ำหนักเรื่องผลกระทบน้ำท่วมภาคใต้มากขึ้น ซึ่งต้องติดตามผลกระทบสถานการณ์ฝนระลอกถัดไป อย่างไรก็ดีนักท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน YTD (1 ธ.ค.) ทะลุ 32 ล้านคน อิงฐานนักท่องเที่ยวเฉลี่ยวันละ 1.0 แสนรายในช่วงหลังผสาน ธ.ค.67 ถือเป็นเดือนที่ปกติดีสุดของปี คาดนักท่องเที่ยวปี 2567 ที่ 35.5-36 ล้านคน ได้ตาม Consensus ประเมิน และปี 2568 น่าจะขยับเข้าสู่ Pre-COVID ที่ 40 +/- ล้านราย เชิงกลยุทธ์แนะนำสะสมหุ้นท่องเที่ยว ภาคบริการต่อเนื่องเน้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT,บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL,บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT,บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC,ERW และ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC