เอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ (12 ต.ค.2564) โดยได้ปัจจัยบวกจากความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกที่สูงขึ้นหลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ดี ตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 12 เซนต์ หรือ 0.20% ปิดที่ 80.64 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 23 เซนต์ หรือ 0.30% ปิดที่ 83.42 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ในช่วงแรกนั้น สัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นเหนือระดับ 81 ดอลลาร์เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ เริ่มฟื้นตัวจากผลกระทบของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ดีตลาดได้รับแรงกดดันในเวลาต่อมา หลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลงสู่ระดับ 5.90% จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 6% โดยระบุถึงปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่ำ ด้านนักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) มีกำหนดเปิดเผยในวันพฤหัสบดี ด้านนักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะลดลง 5 แสนบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 ต.ค. ขณะเดียวกันคาดว่าสต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 4 แสนบาร์เรล และน้ำมันกลั่นลดลง 8 แสนบาร์เรล