เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินตลาดหุ้นไทยเดือน ส.ค. ว่ามีแนวโน้ม “Sideway Up” โดยประเด็นหลักสนับสนุนการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง ประกอบด้วย 1.ฝ่ายวิจัย และ คอนเซ็นซัส ประเมินดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดของสหรัฐฯที่ 5.25 5.5% น่าจะเป็นดอกเบี้ยปลายทางแล้ว โดยตลาดคาดเงินเฟ้อพื้นฐานเดือน ก.ค. 66 เพิ่มขึ้น 0.2% เทียบกับเดือนก่อน อยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารกลาง (เฟด) (น้อยกว่า 0.3% เทียบกับเดือนก่อน) เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันเป็นปัจจัยหนุน โดยดัชนีชี้นำฝั่งอาหารและที่อยู่อาศัย กำลังสะท้อนแรงกดดันต่อเงินเฟ้อแผ่วลง ขณะที่การประชุม FOMC รอบถัดไปคือ 20 ก.ย. 66 ทำให้ประเด็นนี้จะเป็นกลาง บวกต่อตลาดในเดือนนี้ 2.ภาพรวมเศรษฐกิจ DMs ดีกว่าคาด นำโดยสหรัฐฯ ช่วงครึ่งหลังของปี 66 น่าจะเลี่ยงภาวะถดถอยได้ แรงหนุนการจ้างงาน และภาคบริการที่ยังอยู่ในระดับขยายตัว ขณะที่ยุโรปมีภาพดังกล่าวเช่นกัน แม้เงินเฟ้อยังสูงกว่าสหรัฐฯ แต่ทิศทางราคาก๊าซล่วงหน้า 1 เดือน ลดลงต่อเนื่องสู่ 27.5EUR/Mwh ต่ำกว่าระดับสูงสุดปีก่อนมาก (340 EUR/Mwh) ขณะที่ระดับก๊าซคงคลังมีสัดส่วนสูงใกล้เคียงช่วงสูงสุดในแต่ละปีแล้ว เป็นภาพบวกต่อเศรษฐกิจโลก 3.EM Asia แม้ระยะสั้นเศรษฐกิจจีนยังฟื้นตัวช้า แต่ดัชนีชี้นำบางส่วนมีสัญญาณการฟื้นตัวช่วงปลายไตรมาส 2/66 ผสานการทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนตลอดเดือน ก.ค. 66 น่าจะเป็นแรงส่งต่อเศรษฐกิจเอเชียครึ่งหลังของปี 66 จะเร่งขึ้น หนุนความเชื่อมั่น EM Asia มีอัพไซด์หุ้นกลุ่ม Global Plays และหนุนตลาดหุ้นที่ Underperform ไปมากกลับมา 4.ปัจจัยภายใน ความชัดเจนการเมืองน่าจะเกิดราวครึ่งแรกของเดือน ส.ค. 66 และจะเป็นตัวแปรหลักในการบ่งชี้อัพไซด์ของตลาดปลายปีนี้ว่าจะไปได้ไกลเพียงใด (อิงเสถียรภาพภาครัฐฯมากน้อยลดทอนด้วยแรงต้าน ผสานความเชื่อมั่นต่อทีมเศรษฐกิจ) โดยหุ้นอิงเศรษฐกิจภายใน (Domestic Plays) ที่ Underperform นับจากวันเลือกตั้งใหญ่ 14 พ.ค. 66 จะเป็นกลุ่มฟื้นตัวนำตลาด ด้านกลยุทธ์ คงน้ำหนักหุ้นไทย 80% หลังเพิ่มมาช่วง SET ปรับฐานลงมา 1,467-1,450 จุด ช่วงปลายเดือน มิ.ย. 66 ที่ผ่านมา โดยเดือนนี้มอง Zone 1540 1515จุด เป็นกรอบซื้อเพื่อ Trading ระดับเดือน โดยพอร์ตหลักถือต่อ ตลาดน่าจะแกว่งขึ้นสู่กรอบ 1,575-1,590 จุด สำหรับกลุ่มเด่นในเดือนนี้ ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี ได้ภาพบวกวงจรดอกเบี้ยโลกสิ้นปลายทาง และอยู่ในกลุ่มที่มีโอกาสได้รับประโยชน์จาก S Curve เทคโนโลยีใหม่ของโลกในส่วน AI ขับเคลื่อนสู่โลกดิจิตอล หุ้นที่แนะนำได้แก่ บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA, บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8, บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM, บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ส่วนหุ้นรับกระแส FDI การย้ายฐานการผลิต และโครงสร้างพื้นฐานยกระดับในรัฐบาลใหม่ได้แก่ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA, บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA ด้านกลุ่มที่ฟื้นตามความเชื่อมั่นการเมือง และฐานกำไรยังเติบโตเด่นจากราคาน้ำมัน ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ขณะที่กลุ่มอิงการลงทุนฯ ที่ฟื้นตัวตามพัฒนาการด้านการเมืองได้แก่ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC, บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM รวมทั้ง กลุ่มค้าปลีก และ กลุ่มธนาคาร จะเริ่มฟื้นรับความเชื่อมั่นการเมือง เป็นเป้าหมายของฟันด์โฟลว์ ผสานฐานกำไรครึ่งหลังเร่งตัว ได้ประโยชน์เศรษฐกิจรากฐาน ได้แก่ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL, บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME, บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP, บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI, บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC Dark Hores : ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB, บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE, บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI