แบรนด์แอทโมซ

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการเปิดตัวโครงการแนวสูง 5 โครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก โดยสามารถกวาดยอดขาย (พรีเซล) สร้างสถิติสูงสุดใหม่ที่ 8,000 ล้านบาท หรือ 80% ของเป้าหมายในปีนี้ จึงมั่นใจว่ายอดขายทั้งปีจะทะลุ 10,000 ล้านบาทเกินเป้าได้อย่างแน่นอน โดยปัจจัยความสำเร็จครั้งนี้มาจากพอร์ตโครงการแนวสูงของบริษัท ภายใต้แบรนด์ “เคฟ” และ “แอทโมซ” ที่มีความแข็งแกร่งและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดในช่วงนี้โดยแบรนด์เคฟพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คอนโดฯ ของกลุ่มคน Gen Z อย่างลงตัว และแบรนด์แอทโมซที่พัฒนาเป็นคอนโดสไตล์รีสอร์ทที่สอดรับกับวิถีชีวิตของกลุ่มคนเมือง สำหรับการเปิดตัว 5 โครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก ประกอบด้วย 1) โครงการคอนโดแอทโมซ คาแนล รังสิต ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีรังสิต จำนวน 979 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท มูลค่าโคงการ 1,650 ล้านบาท 2) โครงการคอนโดแอทโมซ โอเอซิส อ่อนนุช ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีนุช จำนวน 1,110 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท 3) โครงการคอนโดแอท โมซ โฟลว์ มีนบุรี ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ จำนวน 739 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท 4) โครงการคอนโดแอทโมซ พอร์เทรต ศรีสมาน ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู (ส่วนต่อขยาย) สถานีเมืองทองธานี จำนวน 680 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท และ 5)โครงการเคฟ ทาวน์ โคโลนี ม.กรุงเทพ จำนวน 1,083 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท ทั้งนี้ ซึ่งได้เปิดจองครั้งแรกรอบ VVIP EVENT เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา และสามารถสร้างสถิติมียอดขายในวันเดียวถึง 42% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด หรือคิดเป็น 70% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขาย นอกจากนี้โครงการเคฟทาวน์ สเปซ (Kave Town Space) และเคฟทาวน์ ชิฟท์ (Kave Town Shift) ก็สามารถปิดการขาย 100% เป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากดีมานด์ตลาด Campus Condo กลับมาขยายตัวแรงต่อเนื่องทั้งกลุ่มซื้อเพื่ออยู่อาศัย และเพื่อการลงทุน หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มควบคุมได้และสถานศึกษากลับมาเปิดภาคเรียนแบบปกติ สำหรับแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปีหลัง ASW เห็นสัญญาณฟื้นตัวที่ดีจากนโยบายการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ การยกเลิกระบบ Thailand Pass สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวอย่างโดดเด่น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ขยายตัว ถึงแม้มีปัจจัยท้าทายจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น อย่างไรก็ดีเพื่อรองรับความต้องการลูกค้าที่ขยายตัวและการกลับมาของตลาดที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีแผนงานในไตรมาส 3 จะเปิด 2 โครงการใหม่ ทั้งแนวสูงและแนวราบ มูลค่าโครงการรวม 2,030 ล้านบาท ได้แก่ 1) โครงการ Kave Seed Kaset (โครงการเคฟ ซี้ด เกษตร) จำนวน 600 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท และ 2) โครงการแนบราบ Esta Rangsit Khlong 2 (โครงการเอสต้า รังสิต คลอง 2) จำนวน 153 ยูนิต เริ่มต้นที่ 4.3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 680 ล้านบาท ทั้งนี้ ด้วยยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนธุรกิจปี 2565 ภายใต้การเปิดตัวโครงการใหม่ 8 โครงการ ทั้งคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านแนวราบ มูลค่าโครงการรวม 14,200 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทเปิดตัวโครงการเคฟ ทาวน์ โคโลนี และเคฟ ซี๊ด เกษตรที่อยู่ใกล้กับสถานศึกษาและดีมานด์ขยายตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปี พร้อมกับเปิดแผนบุกขยายพอร์ตแนวราบอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวโครงการแนวราบเอสต้า รังสิต คลอง 2 พร้อมด้วยจุดแข็ง ASW ที่มีความมุ่งมั่นพัฒนาโครงการอสังหาที่ตอบโจทย์ด้านการดีไซน์ทั้งแนวสูงและแนวราบเหมาะกับทุกเจเนอเรชั่น มอบ Facility ครบครัน รวมทั้ง Live & Shooting Studio, E-Sport Stadium, Co-Working & Relax Space และ Metaverse Space พร้อมทั้งสนับสนุนการอยู่อาศัยให้มีสุขภาพดีโดยบริการตรวจสุขภาพ 24 ชม.บนแอปพลิเคชัน ผสานกับการทำตลาดเทรนด์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ อาทิ การแจก POPCOIN มั่นใจด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้ง 8 โครงการนี้จะผลักดันยอดขาย 10,000 ล้านบาทเกินเป้าหมายอย่างแน่นอน และมีรายได้รวมในปีนี้ที่ 6,000 ล้านบาท เติบโต 19% ได้ตามเป้า ทั้งนี้ ASW ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและแนวราบบนทำเลศักยภาพภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” ปัจจุบันได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 44 โครงการ ภายใต้แบรนด์ในเครือที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความสุขให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA) และ แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมมูลค่าโครงการกว่า 46,700 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ 32 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา 12 โครงการ โดยปัจจุบันมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 8,207 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง