โครงการจัดทำ Web Application

ยิ่งใกล้วันเปิดศึกซักฟอกรัฐบาล การโหมโรงของฝ่ายค้านด้วยการออกมาเปิดประเด็นการบริหารงานของหน่วยงานที่อยู่ในการกำกับของรัฐยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น และหนึ่งในหน่วยงานที่ ส.ส.พรรคประชาชน อย่าง น.ส.รักชนก ศรีนอก ออกมาเปิดประเด็นนั่นคือ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ที่เรียกว่าเป็นเรื่องใกล้ชิดประชาชนโดยเฉพาะ “มนุษย์เงินเดือน” เป็นอย่างมาก เพราะงบประมาณที่นำมาใช้มาจากผู้ประกันตน และนายจ้าง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นค่าใช้จ่าย Call Center 1506 ที่มีค่าใช้จ่ายหลัก 100 ล้านบาทในทุก ๆ ปี แต่ประชาชนไม่สามารถติดต่อได้เนื่องจากสายไม่ว่าง การจัดทำปฏิทินประกันสังคม ตั้งแต่ปี 2559-2568 พบว่ามีจำนวน 10 ครั้ง รวมวงเงิน 579.59 ล้านบาท และการใช้งบประมาณดูงานต่างประเทศ โดยมีผู้เดินทางจำนวน 10 คน ใช้งบประมาณ 2.2 ล้านบาท โดยมี 2 คน เบิกค่าบัตรโดยสารชั้นเฟิร์สต์คลาส เบิกค่าที่พัก 16,000 บาท/วัน/คืน จนเกิดเป็นคำถามว่าจำเป็นหรือไม่ที่จะใช้จ่ายลักษณะนี้กับภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังเผชิญกับความท้าทาย แต่ล่าสุดก็ประเด็นที่ประชาชาชนให้ความสนใจอีกครั้ง หลัง น.ส.รักชนก ในฐานะโฆษกกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยได้ระบุถึง โครงการการปรับเปลี่ยนระบบงานประกันสังคมบนเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมเป็น Web Application ราคากลาง 850 ล้านบาท พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า โครงการทำ Web App บริษัท 2 แห่งที่มาประมูล เสนอราคาต่างกันเพียง 300,000 บาท จนถูกตั้งคำถามอาจเข้าข่ายฮั้วหรือไม่ และประเด็นต่อมาราคาของทั้ง 2 บริษัท เรียกได้ว่าชิดราคากลางแบบแทบไม่ต่างเลยด้วยซ้ำ จึงตั้งคำถามว่า หรือแท้จริงแล้วทั้ง 2 บริษัทรู้ราคากลาง นอกจากนี้ผู้ที่ชนะประมูลโครงการนี้ส่งงานช้า 193 วัน ซึ่งต้องจ่ายค่าปรับให้รัฐ 163 ล้านบาท แต่กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ โดยเมื่อวันที่ 27 ก.พ.2568 การประชุมกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ มีการประชุมร่วมกับสำนักงานประกันสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงและขอเอกสารและข้อมูลเกี่ยวกับโครงการจัดทำ Web Application ข้างต้น โดยทางสำนักงานประกันสังคมชี้แจ้งว่า โครงการนี้ดำเนินการจัดหาในปี 2564 สัญญามี 6 งวดงาน งวดงานที่ 1 และงวดที่ 2 เป็นการวิเคราะห์ จัดเก็บข้อมูล และออกแบบ งวดงานที่ 3-6 เป็นการพัฒนาระบบแอพพลิเคชัน 14 ระบบ ในส่วนของการส่งมอบงาน ผู้รับจ้างจะสิ้นสุดการจ้างใน เดือน ธ.ค. 2566 ซึ่งก่อนจะสิ้นสุดระยะเวลาส่งมอบงาน ทางผู้รับจ้างก็ส่งหนังสือขอใช้สิทธิ์ในเรื่องเป็นผู้ที่อยู่ในมาตรการผู้ได้รับความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงโควิด-19 เนื่องจากเป็นผู้ที่ได้เซ็นสัญญากับภาครัฐในช่วงเกิดโควิด-19 จะได้รับอานิสงค์ในการคิดค่าปรับเป็นร้อยละ 0 และระยะเวลาที่จะได้รับ จะนับจากวันที่ลงนามในสัญญาถึงวันที่มีการประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉิน ระยะเวลารวม 193 วัน เมื่อถึงวันสิ้นสุดระยะเวลาตามสัญญาจ้าง ผู้รับจ้างจึงได้รับบวกเวลาอีก 193 วัน โดยสิทธิ์ของผู้รับจ้างครบกำหนด 30 มิ.ย.2567 และวันที่ 1 ก.ค. 2567 ต้องส่งมอบงาน แต่ผู้รับจ้างส่งงานในวันที่ 8 ก.ค.2567 ซึ่งเกิดค่าปรับ 7 วัน โดยทางด้าน น.ส.รักชนก ภายหลังการการประชุมเสร็จสิ้นให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนระบุว่า ที่ประชุมไปไม่กระจ่างแต่อย่างใด และขอข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งโครงการ 850 ล้านบาท web application ในตอนนี้พบข้อพิรุธต่าง ๆ รวมทั้งขอเอกสารอะไรก็ไม่ยอมให้ ตนเองจึงตั้งข้อสังเกตส่งไปยัง ป.ป.ช. ให้มาดูโครงการและอยากให้ผู้ตรวจการแผ่นดินมาดูโครงการนี้ว่าทำไมถึงเปิดเผยข้อมูลไม่ได้ ทั้งนี้จากการสืบค้นข้อมูลผ่านเว็บไซต์ actai.co พบข้อมูลเกี่ยวกับการประกวดราคาจ้างโครงการปรับเปลี่ยนระบบงานประกันสังคมบนเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมเป็นระบบ Web Application ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) เคยดำเนินการมาแล้วถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ 16 ธ.ค. 63 และประกาศผู้ชนะวันที่ 10 มี.ค. 64 กำหนดราคากลาง 850,000,000 บาท โดยมีบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IRCP ชนะการประกวดราคาที่ 837,886,388.00 บาท แต่เนื่องจากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียน มีคำวินิจฉัยให้ยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างในครั้งนี้ และดำเนินการใหม่ให้ถูกต้องต่อไป ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด จากนั้น สปส.ได้จัดประกวดราคาอีกครั้งเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 64 มีผู้ยื่นเอกสารประกวดราคาจำนวน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IRCP ราคาที่เสนอ 848,500,000 บาท และบริษัท ยิบอินซอย จำกัด ราคาที่เสนอ 848,888,000 บาท ซึ่งผู้ชนะการเสนอราคา คือ IRCP เป็นผู้มีคุณสมบัติและข้อเสนอทางเทคนิค ถูกต้องครบถ้วนและเป็นผู้ได้คะแนนรวมสูงสุด โดยมีการประกาศผู้ชนะเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 64 อย่างไรก็ตามทีม “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จากการตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซด์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) พบว่า บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IRCP ได้แจ้ง ตลท. เมื่อวันที่ 16 มี.ค.2564 ว่า บริษัทเป็นผู้ชนะการเสนอราคา ประกวดราคาจ้างโครงการปรับเปลี่ยนระบบงานประกันสังคมบนเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมเป็นระบบ Web Application ตามประกาศสำนักงานประกันสังคม ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) และมีการเสนอราคาทั้งสิ้น 837,886,388.00 บาท ซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีอื่นๆ ค่าขนส่ง และค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งหมด โดยไม่ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับการยกเลิกประกวดราคารอบแรก รวมถึงข้อมูลที่ IRCP ชนะการประกวดราคาครั้งที่ 2 ด้วยวงเงินราคาที่เสนอ 848,888,000 บาท สำหรับ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IRCP เป็นบริษัทจดทะเบียนประกอบธุรกิจด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งจากข้อมูลที่แจ้งกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรก (เมื่อ 15 มี.ค. 2567) ตามตารางด้านล่างนี้ สำหรับงบการเงินของ IRCP แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หลังได้รับงานโครงการปรับเปลี่ยนระบบงานประกันสังคมบนเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมเป็นระบบ Web Application มูลค่า 837,886,388.00 บาท เมื่อวันที่ 16 มี.ค.2564 พบว่า ผลการดำเนินงานบริษัทในปี 2564 มีรายได้รวมจำนวน 763.62 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 18.57 ล้านบาท ,ปี 2565 มีรายได้รวมจำนวน 1,322.58 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 49.05 ล้านบาท, ปี 2566 มีรายได้รวมจำนวน 1,142.25 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 28.99 ล้านบาท และล่าสุดปี 2567 มีรายได้รวมจำนวน 951.73 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 20.09 ล้านบาท นับจากนี้คงเป็นหน้าที่ของสำนักงานประกันสังคม และผู้ที่เกี่ยวข้องต้องออกมาชี้แจงถึงข้อสงสัยต่างๆในโครงการปรับเปลี่ยนระบบงานประกันสังคมบนเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมเป็นระบบ Web Application เพราะเชื่อได้ว่า จะเป็นหนึ่งเรื่องที่ฝ่ายค้านจะนำไปขยายผลต่อในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่พุ่งเป้าไปยัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพราะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวประชาชนคนทำงานทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้กำลังเกิดคำถามมากมายกับเงินที่ต้องเสียไปในทุกๆเดือน กับความคุ้มค่าในการนำไปพัฒนาระบบสวัสดิการด้านสุขภาพของชนชั้นแรงงาน