โรงกลั่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(6 ต.ค.65) ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานและโรงกลั่นปรับตัวขึ้นต่อ หลังวานนี้การประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือ โอเปกพลัส มีมติปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วัน นำโดยบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ราคาหุ้น ณ เวลา 10:10 อยู่ที่ระดับ 170.50 บาท บวก 2.50 บาท หรือ1.49% ราคาสูงสุดอยู่ที่ 171.00 บาท ราคาต่ำสุด 169.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 585.61 ล้านบาท ด้านบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ณ เวลา 10:18 อยู่ที่ระดับ 35.00 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 1.45% ราคาสูงสุดอยู่ที่ 35.00 บาท ราคาต่ำสุด 34.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 482.18 ล้านบาท ส่วนบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ณ เวลา 10:11 อยู่ที่ระดับ 52.75 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 0.96% ราคาสูงสุดอยู่ที่ 53.00 บาท ราคาต่ำสุด 52.00 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 261.69 ล้านบาท ด้าน บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ณ เวลา 10:13 อยู่ที่ระดับ 14.00 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 3.70% ราคาสูงสุดอยู่ที่ 14.10 บาท ราคาต่ำสุด 13.80 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 114.91 ล้านบาท ขณะที่บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ณ เวลา 10:14 อยู่ที่ระดับ 31.00 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 2.48% ราคาสูงสุดอยู่ที่ 31.25 บาท ราคาต่ำสุด 30.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 36.33 ล้านบาท ด้านบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ณ เวลา 10:15 อยู่ที่ระดับ 11.70 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 3.54% ราคาสูงสุดอยู่ที่ 11.80 บาท ราคาต่ำสุด 11.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 39.03 ล้านบาท บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(6 ต.ค.) ว่า กลุ่มพลังงานมองเป็นบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ โดยชอบพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นที่น่าได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันสูง โดยกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือ โอเปกพลัส มีมติปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วันใน 1 ปี ตั้งแต่ พ.ย.65-66 ซึ่งเป็นการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ปี นับตั้งแต่ พ.ค.63 (ช่วงแรกของการระบาดของ COVID-19) โดยซาอุดิอาระเบียอ้างว่าเป็นความจำเป็นในการตอบโต้แนวโน้มดอกเบี้ยที่สูงขึ้นของประเทศตะวันตกและเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลง ทั้งนี้ Bloomberg ได้ประเมินว่าการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันในครั้งนี้จะแบ่งเป็น 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน สำหรับประเทศ OPEC 10 ประเทศ และอีก 0.7 ล้านบาร์เรล/วัน จากประเทศ Non-OPEC โดยซาอุฯและรัสเซียรวมกันจะลดกำลังการผลิตน้ำมันประมาณ 1.1 ล้านบาร์เรล/วัน ทั้งนี้ กลุ่มโอเปกพลัส จะมีการประชุมในครั้งถัดไปในวันที่ 4 ธ.ค.65 ส่วนปริมาณสำรองน้ำมัน US ลดลงมากกว่าคาด สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล (mmbbl) ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.5mmbbl แต่ปริมาณสำรองน้ำมันดิบยุทธศาสตร์ (SPR) ยังลดลงอีก 6.2mmbbl เหลือ 416mmbbl ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดเป็นสถิติ นอกจากนี้ สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 4.7 mmbbl มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 2.3mmbbl และสต็อกน้ำมันกลั่น (ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล) ลดลง 3.4mmbbl มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.8mmbbl บล.ดาโอ มีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ โดยเชื่อว่าข่าวลดกำลังการผลิตน้ำมันของโอเปกพลัส จะเป็นปัจจัยผลักดันราคาน้ำมันดิบให้สูงขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยวานนี้ ราคาสัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า Brent สูงขึ้น 1.7% เป็น 93.4 เหรียญ/บาร์เรล ทั้งนี้คงมุมมองว่าราคาน้ำมันดิบจะฟื้นตัวในไตรมาส 4/65 จากแรงหนุนจาก OPEC+ ปรับลดกำลังการผลิต การจบลงของโครงการปล่อยน้ำมันสำรองยุทธศาสตร์ Strategic Petroleum Reserve (SPR) ของ US และการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานทดแทนทำให้เกิดอุปสงค์ gas-to-oil switching ในช่วงฤดูหนาว โดยยังประมาณการราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 65 ที่ 105.0 เหรียญ/บาร์เรล และยังคงน้ำหนักการลงทุน "เท่ากับตลาด" สำหรับกลุ่มพลังงาน และชอบหุ้นพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นที่น่าได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยชอบหุ้น PTTEP (แนะซื้อเป้า 200.00 บาท), SPRC (แนะซื้อเป้า 14.00 บาท) และ TOP (แนะซื้อเป้า 66.00 บาท) ทั้งนี้เชื่อว่าราคาหุ้น PTTEP มีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่น่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 4/65 หลังจากปรับตัวลงในไตรมาส 3/65 จากความกังวลด้านเงินเฟ้อ ขณะที่โรงกลั่นมีโอกาสที่จะเห็นกำไรจากสต็อกน้ำมัน (stock gain) ขณะที่อุปสงค์ของผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปมีแนวโน้มดีขึ้นจากอุปสงค์ gas-to-oil switching ในฤดูหนาว