โรงกลั่นน้ำมัน

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า มาตรการขอความร่วมมือจากโรงกลั่นน้ำมันในการนำเงินจากส่วนต่างกำไรค่าการกลั่น เพื่อส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นระยะเวลา 3 เดือนนั้น คาดว่าจะได้ข้อยุติภายในสัปดาห์นี้ ส่วนจำนวนเงินที่จะเก็บยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน ขณะเดียวกันพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง. ดังนี้ 1.ตรึงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือ NGV ที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัม, 2.กำหนดกรอบการขายปลีกราคาก๊าซหุงต้ม หรือ LPG ที่ 408 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม, 3.ขยายเวลาให้ส่วนลดราคา LPG ร้านค้า หาบเร่แผงลอยและผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, 4.อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล 50% ในส่วนที่ราคาขายสูงกว่า 35 บาทต่อลิตร, 5.คงค่าราคาตลาดน้ำมันดีเซลไม่เกิน 1.40 บาทต่อลิตร และ 6.ดึงกำไรจากโรงกลั่นน้ำมัน เข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นระยะเวลา 3 เดือน ในช่วงระหว่างเดือน ก.ค.-ก.ย. 2565 นอกจากนี้กระทรวงพลังงาน ระบุว่า กำลังอยู่ระหว่างการหารือกับกลุ่มโรงกลั่น รวมทั้งได้ขอความร่วมมือกับ “ปตท.” นำส่งกำไรส่วนหนึ่งของโรงแยกก๊าซธรรมชาติเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งคาดจะจัดเก็บได้ 500-1,000 ล้านบาทต่อเดือน ด้านนายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ FSSIA กล่าวว่า ดาวน์ไซด์ต่อกลุ่มหุ้นโรงกลั่นไทยค่อนข้างที่จะรับรู้ไปเกือบหมดแล้ว โดยเฉพาะโรงกลั่นที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ อย่างบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC และบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ทั้งนี้มีมุมมองเชิงบวกต่อราคาหุ้นของ SPRC และ ESSO เนื่องจากมีความเป็นไปได้น้อยที่ทั้ง 2 โรงกลั่นจะทำตามคำขอของรัฐบาลไทยจากข้อกฎหมายที่จำกัด จึงเลือกเป็น 2 หุ้นท็อปพิกในกลุ่มโรงกลั่นไทย อีกทั้งยังไม่มีผลขาดทุนจากการประกันความเสี่ยง และมีการเติบโตของกำไรอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 2