โรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง

บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ระบุถึงสาเหตุที่อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ในไตรมาส 4/2566 อ่อนตัวลง เนื่องจากมาร์จิ้นในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบางลดลง และการเก็บความเรียบร้อยของงานก่อสร้างของโครงการอื่น โดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบางมีความคืบหน้าการก่อสร้าง 21.9% ในสิ้นปีที่ผ่านมา และคาดกาณ์จะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2573 ดังนั้น ฝ่ายวิเคราะห์ บล. CGSI จึงปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นของ CK ในปี 2567-2569 ลง เพื่อสะท้อนมาร์จิ้นที่ลดลงของโครงการขนาดใหญ่นี้ โดยปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นจาก 7.9% สู่ระดับ 7.2% ในปี 2567 และจาก 8.0% ลดลงเป็น 7.3% ในปี 2568-2569 รวมทั้งปรับประมาณการรายได้ในปี 2567-2569 ลดลง 9-18% เนื่องจากโครงการบางส่วน ประกอบด้วยโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและโครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 อาจล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ด้านบริษัท CK ระบุว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่กำลังดำเนินคดี ยังอยู่ในขั้นตอนรอการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด เกี่ยวกับการจัดประมูลรอบ 2 ว่าเห็นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนโครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 ยังอยู่ในขั้นตอนศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและน่าจะไม่เปิดประมูลในเร็วๆนี้ ส่งผลให้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2567-2569 ลง 10-20% อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มอ่อนตัวลง อาจทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างทรงตัวมากขึ้น โดยจะเห็นได้จากราคาเหล็กที่ปรับตัวลง 0.7% ตั้งแต่ต้นไตรมาสจนถึงปัจจุบัน และราคาปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ตั้งแต่ต้นไตรมาสจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเชื่อว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลดีต่อมาร์จิ้นของผู้รับเหมาในปีนี้ ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์ ประเมินว่า บริษัทมีงานในมือ (Backlog) รวมอยู่ที่ 1.29 แสนล้านบาทเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา เทียบเท่ากับรายได้ราว 3 ปี ซึ่งถือว่ายังเป็นระดับที่ปลอดภัย นอกจากนี้ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ได้เป็นผู้ชนะประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม มูลค่า 1.4 แสนล้านบาท แต่โครงการนี้อยู่ในระหว่างรอการพิจารณาจากศาลปกครองสูงสุด หากคำพิพากษาออกมาเป็นผลดี การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มีแผนยื่นเสนอโครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์จึงไม่มีความกังวลกับ backlog ของบริษัทในช่วงปี 2567-2568 ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ บล. CGSI ยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น CK และปรับราคาเป้าหมายลดลงจาก 27 บาท เป็น 26.50 บาท ซึ่งเท่ากับ P/BV 1.6 เท่าในปีนี้ โดยการปรับลดเป้า P/BV นั้น เพื่อสะท้อนกำไรที่มีแนวโน้มอ่อนตัวกว่าคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม ยังคงเชื่อว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิเติบโตสูงกว่าคู่แข่งได้ในปี 2567-2569 ได้รับแรงหนุนจากยอด backlog ที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าการที่บริษัทสามารถคว้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และราคาวัสดุก่อสร้างที่ลดลง จะช่วยหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ส่วนปัจจัยความเสี่ยง (downside risk) อาจมาจากคำพิพากษาศาลปกครองกลางในคดีที่รฟม.ถูกยื่นฟ้องเรื่องการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มรอบที่ 2