Choco

แม้ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH จะมีกำไรสุทธิในไตรมาสสองลดลงเล็กน้อย แต่ความย้อนแย้งจากการที่อัตรากำไรสุทธิของบริษัทยังทำนิวไฮ และการที่มติกรรมการบริษัทยังคงจ่ายปันผลต่อหุ้นยังคงเกินจริงต่อไป ยังเป็นเสน่ห์ของยักษ์ใหญ่โฮลดิ้งในธุรกิจโทรคมนาคมของไทยต่อไป การจ่ายปันผลหุ้นละ 1.76 บาทต่อหุ้นทั้งที่กำไรต่อหุ้นบริษัท 1.62 บาท ทำได้เพราะว่ากำไรสะสมของหุ้นยังมีเหลืออีกมากถึง 2.325 หมื่นล้านบาทเศษ เก็บเอาไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับผู้ถือหุ้น แม้ว่าราคาหลังขึ้น XD ที่ร่วงลงมาหลังจากราคาก่อนหน้า ทำนิวไฮเช่นกันส่งผลให้ค่าพี/อีทะยานสูงสุดในรอบ 5 ปี แต่ราคาเทียบกับบุ๊กยังคงต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี เห็นได้ชัดว่า INTUCH คือ “วัวที่ให้น้ำนมเป็นทองคำ” ต่อเนื่ิอง สมกับเป็นบริษัทโฮลดิ้งชั้นเยี่ยม การขายหุ้นทิ้งบางส่วนของเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ของสิงคโปร์ จึงเป็นแค่การทำกำไรของสมบัติผลัดกันชมตามธรรมดาไม่มีอะไรผิดปกติแม้ว่าคนจ้องจับผิดอาจจะเสียใจและเสียดายที่ทำอะไรไม่ได้ ในแง่ธุรกิจ INTUCH ยังคงมีรายได้หลักจาก บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ที่ยังเป็นผู้นําในการให้บริการกับลูกค้า ต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 2/2565 โดยที่มีจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์ เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นสุทธิกว่า 0.88 ล้านราย เพิ่มเท่าตัวจากไตรมาส 1/2565 ทั้งจากผู้ใช้บริการระบบรายดือน และ ระบบเติมเงิน ด้วยกลยุทธ์ “การตลาดแบบ คั้นมะนาว” นอกจากนั้นได้ขยายโครงข่ายการให้บริการเพิ่มพื้นที่ 5G ได้ครอบคลุม 81% ของจำนวนประชากรไตรมาสที่ 2/2565 จำนวนรวมถึง 45.50 ล้านราย (เป็นผู้ใช้บริการ 5G อีก 3.90 ล้านราย) นอกจากนั้นธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้านและกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กรยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องโดย จำนวนผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในไตรมาสที่ 2/2565 จำนวน 1.97 ล้านราย เพิ่มขึ้นถึง 28% จากระยะเดียวกันปีก่อนเกิดจากการขยายพื้นที่ให้บริการ และ เน้นการทำตลาดแบบ FMC (Fixed-Mobile-Content Convergence) มากขึ้น แม้จะยังตามหลังค่ายทรู ที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วและยึดครองอันดับ 1 มานานหลายปี แต่ผู้คาดหมายว่า ถ้าหากดีลซื้อกิจการของ 3BB จากมือของ JAS สามารถบรรลุเป้าหมายได้ ความได้เปรียบของค่ายนี้จะเพิ่มขึ้นมหาศาลจนถึงขั้นสามารถเสนอบริการ FMC ได้เพิ่งดึงลูกค้าจากกลุ่มทรูมาได้อีก อย่างชนิดก้าวกระโดด ทางด้านบริการสื่อสารผ่านดาวเทียมของ THCOM ก็มีความคืบหน้าได้ดีต่อไป สามารถลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ กับบริษัทในเครือกับ Hinduja Group ตลาดอินเดีย ในการให้บริการบรอดแบนด์ในพื้นที่ห่างไกลและเครือข่ายการสื่อสารยังไม่เพียงพอในประเทศอินเดีย และได้วางเป้าหมายในการร่วมกันพัฒนา global emerging solutions ต่าง ๆ นอกจากนี้ไทยคมได้เปิดตัวโครงการพัฒนาระบบติดตามตัวเพื่อความปลอดภัยในการพัฒนา IoT (Internet of Things) Solutions ร่วมกับ บริษัท โกลบอลสตาร์ (Globalstar) ผู้ให้บริการระดับโลกด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียมจากกลุ่ม โดยที่ส่วนใหญ่เป็นผลจากส่วนแบ่งผลกําไรจากไทยคม ส่วนใหญ่เป็นผลจากกําไร แม้ว่ายังคงมีส่วนแบ่งผลขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้า ผลกําไรของไทยคมแต่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบ กับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและงวดหกเดือนของปีก่อนส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของผลกําไรของเอไอเอส นอกจากนั้น INTUCH ยังมีการผ่อนถ่ายธุรกิจที่เปิดใหม่ไปให้กับเอไอเอส ผ่านทางบริษัท เอไอเอส ดิจิทัล ไลฟ์ จำกัด (ADL) บริษัทย่อยที่ AIS ถือหุ้นร้อยละ 99.99 ในบริษัท Startup จำนวน 3 แห่ง ที่ยังไม่มีกำไรชัดเจน แต่มีอนาคตยาวไกล ด้วยเงินลงทุนราว 239 ล้านบาท ได้แก่ 1.บริษัท ช็อคโก้ ดาร์ค เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (Choco) ประกอบธุรกิจพัฒนาและให้บริการระบบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM Platform) สำหรับลูกค้าองค์กรและร้านค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก สัดส่วนการลงทุน 20.71% 2.บริษัท ดาต้าฟาร์ม จำกัด (Datafarm) เป็นผู้ให้บริการงานทดสอบและประเมินความปลอดภัยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Penetration test/ Vulnerability Assessment) สัดส่วนการลงทุน 25.00% 3.บริษัท สวิฟท์ ไดนามิคส์ จำกัด (Swift Dynamics) เป็นผู้พัฒนาและให้บริการไอโอทีโซลูชันแบบครบวงจรเพื่อใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ด้านอาคาร (Smart Building) โรงงาน (Smart Factory) และการผลิต (Smart Manufacturing) เป็นต้น สัดส่วนการลงทุน 16.67% การขายกิจการนี้ออกไปให้แก่ เอไอเอสจะทำให้ INTUCH ในอนาคตรับรู้รายได้ทางอ้อมจากทางเอไอเอสในรูปเงินปันผล การดำเนินการของ INTUCH นี้ คนที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดหนีไม่พ้น GULF ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของ INTUCH อย่าได้ประหลาดใจถ้าจากนี้ไป ราคาหุ้น GULF จะวิ่งแรง เพราะไตรมาส 3 นี้ จะบันทึกกำไรจากปันผลของความใจป้ำของกรรมการ INTUCH…อิ อิ อิ